หน้าเว็บ

1.ทฤษฎีพัฒนาการกิจกรรมศิลปะเด็ก

 ทฤษฎีพัฒนาการที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

สารบัญ

1.ทฤษฎีการแสดงออกทางศิลปะของเด็กปฐมวัย

2.ทฤษฎีเสมือนจริง

 2.1 ศิลปะแบบเสมือนจริงในสังคม

 2.2 ทฤษฎีเหมือนจริงทางศิลปะศึกษา

2.3 ศิลปะเด็กแบบเสมือนจริง

3.ทฤษฎีปัญญา

4.ทฤษฎีการรับรู้ทางศิลปศึกษา

5.ทฤษฎีความรู้สึกและการเห็น

6.ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์

7.ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลป


1.ทฤษฎีการแสดงออกทางศิลปะของเด็กปฐมวัย

        การแสดงออกด้านศิลปะของเด็กโดย นักศิลปศึกษา ได้กล่าวถึงทฤษฎีทางศิลปะของเด็ก และแบ่งออกเป็น 4 ทฤษฎี การสอนศิลปะเพื่อการพัฒนาเด็กในทุกด้านนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายอย่างที่จะช่วยในการพัฒนาและเกื้อหนุนกันทั้งรูปแบบการสอนพัฒนาการตามวัย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะทำให้ครูทราบหลักการนำไปใช้อย่างแท้จริงซึ่งการศึกษาให้เข้าใจถึงทฤษฎีด้านศิลปะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เข้าใจถึงการรับรู้และการแสดงออกด้านศิลปะของเด็ก


 ภาพที่ 1 การแสดงออกด้านศิลปะของเด็ก

ที่มา : ชนุติพร ศรีนนท์.  ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย.  [ออนไลน์].  

ข้าถึงได้จาก  :http://chanu010.blogspot.com/2011/12/4-cooperative-learning-confidence-self.html


2. ทฤษฎีเสมือนจริง

        ทฤษฎีเสมือนจริง (Naive Realism) ความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าของศิลปะในสังคม ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกว้างไกล และตลอดเวลาศิลปะเหล่านั้นมักจะมีช่องว่างกับประชาชนเสมอ ศิลปินมุ่งพัฒนาคุณภาพของศิลปะโดยยึดถือการสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่เฉพาะตัวเป็นหลักทำให้ศิลปะถูกเปลี่ยนรูปแบบและเนื้อหาไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามความคิดของแต่ละสถาบันศิลปะ แต่ละกลุ่มและศิลปินแต่ละคนเมื่อการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะเป็นไปตลอดเวลา จึงทำให้เกิดช่องว่างทางด้านการรับรู้ขึ้นอย่างไรก็ตามการก้าวไปข้างหน้าของศิลปะก็ช่วยให้เกิดการประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางด้วย เช่น ประยุกต์ไปสู่งานออกแบบศิลปะโฆษณา ศิลปะตกแต่งสีสันในศิลปะการแต่งกาย เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะคล้ายกับความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านอื่นๆ เช่น การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่ก้าวล้ำหน้าจะตามมาด้วยการประยุกต์วิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันเป็นต้น 

        นอกเหนือจากศิลปะของศิลปินในสังคมจะได้รับการประยุกต์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วยังมีผลกระทบไปสู่การเรียนการสอนศิลปศึกษาในโรงเรียนอีกด้วยเมื่อศิลปะในสังคมก้าวหน้าไปทางใดแนวโน้มที่ตามมาก็คือ ศิลปะในโรงเรียน มักจะมีแนวโน้มไปในทางนั้นด้วยเช่นเมื่อศิลปินพัฒนาศิลปะไปสู่ภาพปะติด (collage) ต่อมาภาพปะติดก็ได้รับการประยุกต์ให้ง่าย เพื่อนำไปใช้ฝึกปฏิบัติในโรงเรียนด้วย


                      ภาพที่ 2 ความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าของศิลปะ

        ที่มา su2499.blogspot.com.  การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน.

[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: http://su24992.blogspot.com/2016/01/blog-post_5.html

                

        2.1 ศิลปะแบบเหมือนจริงในสังคม 

         ศิลปะแบบเสมือนจริงทางตะวันตกเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ครั้งอารยธรรมกรีกโบราณและโรมัน ซึ่งเป็นต้นฉบับอารยธรรมตะวันตกต่อมา เมื่อศิลปะทำหน้าที่สนับสนุนคริสต์ศาสนา ศิลปะแบบ เสมือนจริงก็ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องตลอดมา เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่19 ศิลปินในยุโรป ได้ร่วมกันเสนอทัศนะและรูปแบบทางศิลปะโดยเน้นความเหมือนจริงหรือสัจจะ2 ด้านคือ ห้างด้านรูปแบบที่ เลียนแบบวัตถุสิ่งแวดล้อมให้เหมือนจริงและทางด้านเนื้อหาที่แสดงสัจจะเหตุการณ์ในสังคม เช่น สภาพความยากจน แรงงาน และชีวิตในสังคมเป็นต้น จนกระทั่งศิลปะของศิลปินกลุ่มนี้ได้ชื่อว่า กลุ่มสัจนิยม (Realism) และนั่นก็ดูเหมือนว่าเนื้อหาสาระของศิลปะกลุ่มนี้ได้ก้าวเข้ามาสู่ศิลปะสมัยใหม่อย่างแท้จริงที่เดียวต่อจากนั้นแม้ศิลปะทางตะวันตกจะพัฒนาไปสู่รูปแบบและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมากแต่รูปแบบเหมือนจริงหรือการเรียนแบบวัตถุสิ่งแวดล้อมก็ยังคงมีบทบาทต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้

          สำหรับคนไทยเราในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยที่ผูกพันตัวเองไว้กับศิลปะแบบเหมือนจริงจนลืมไปว่าเรามีพื้นฐานการชื่นชมกับศิลปะที่ไม่เหมือนจริงมาก่อนจนบางครั้งรับรู้ได้ชื่นชมได้เฉพาะศิลปะแบบเหมือนจริงเท่านั้นและปฏิเสธลักษณะอื่นๆรวมทั้งศิลปะในสายประเพณีของไทยซึ่งอาจเป็นเพราะว่าศิลปะแบบเสมือนจริงที่สื่อสารได้ง่ายและมีสิ่งเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆก็ได้ ซึ่งการกำหนดตัวเองไว้กับศิลปะแบบเหมือนจริงเช่นนี้เป็นความคิดที่ค่อนข้างแคบและมีผลเสียไปสู่การสนับสนุนศิลปะเด็กอีกด้วยเพราะศิลปะที่เด็กแสดงออกไม่ใช่ศิลปะในลักษณะเหมือนจริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

      2.2 ทฤษฎีเหมือนจริงทางศิลปะศึกษา  

    ทฤษฎีเหมือนจริงทางศิลปศึกษาขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่ว่า “ไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างรูปวัตถุ และภาพที่เด็กรับรู้” จากสมมติฐานข้างต้นหมายความถึงว่า เมื่อวัตถุสิ่งแวดล้อมมีรูปทรง สี รายละเอียดอย่างไร ภาพที่เด็กรับรู้ก็สามารถจะรับรู้รูปทรง สีและรายละเอียดตรงกับความเป็นจริงทุก ประการ ไม่มีความแตกต่างกันอย่างใด เช่น เมื่อเด็กมองไปที่รถยนต์ เด็กจะรับรู้ข้อมูลภาพ (Visual Information) เช่นเดียวกับที่ผู้ใหญ่รับรู้ คือ การออกแบบ รูปทรง สีและรายละเอียดอย่างอื่น ไม่มีข้อ แตกต่างในการรับรู้รถยนต์ เมื่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่นำข้อมูลภาพมาสร้างเป็นผลงานศิลปะหรือ ภาพเขียน สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ ความแตกต่างกันทางด้านทักษะการควบคุมมือปฏิบัติงาน                      
         เมื่อเด็กถูกเร่งเร้าให้สร้างสรรค์รูปทรงในลักษณะเหมือนจริงโดยฝึกฝนทางด้านทักษะให้ เหมือนกับที่ผู้ใหญ่ฝึกฝนทางศิลปะนั้นความเหมือนจริงจึงเป็นเป้าหมายหลักของการแสดงออกสิ่งที่ ตามมาก็คือเด็กเบื่อหน่ายกับกิจกรรมศิลปะที่ครูเป็นผู้กำหนดการแสดงออกนั้นซึ่งจริงๆ แล้วเด็กอาจจะไม่ได้มองเห็นหรือรับรู้รูปวัตถุที่ครูมองเห็นและตัดสินก็ได้แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าเรามองเห็นวัตถุแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจริงอยู่เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันเราย่อมมองเห็นวัตถุสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มไปในทางเดียวกันหรือใกล้เคียงกันเด็กก็พร้อมจะเรียนรู้และได้รับการสั่งสมและสำรวจตรวจสอบไปในวิถีทางเดียวกันด้วยแต่ควรจะค่อยเป็นค่อยไปและอย่างระมัดระวังพร้อมกันนั้นการแสดงออกทางศิลปะของเด็กก็ควรจะมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ ส่วนตัวที่ผ่านมา และเป็นวิถีทางที่พวกเขาสนองตอบต่อสถานการณ์ขณะนั้นด้วย ไม่ใช่เป็นวัตถุที่อยู่เหนือกาลเวลา อยู่เหนือภาพแวดล้อมหรืออยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดของผู้รับรู้ ถ้าเด็กได้รับการปลูกฝังทางศิลปะในแบบแผนของผู้ใหญ่ขาดการยอมรับทางด้านความ แตกต่างทางเอกัตภาพขาดการลองผิดลองถูกสิ่งที่เด็กได้รับคือ ความพึงพอใจของผู้ใหญ่และการไร้ เสียซึ่งความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเอง 

    2.3 ศิลปะเด็กแบบเสมือนจริง   

          เมื่อเรารับศิลปะแบบเสมือนจริงเข้ามาสอนในโรงเรียนโดยเน้นการฝึกฝนทางด้านฝีมือให้สามารถแสดงออกทางศิลปะได้ผลงานที่เลียนแบบวัตถุสิ่งแวดล้อม เช่น ให้เด็กฝึกเขียนภาพใบไม้ ขวด กล่อง ชอล์ก ทิวทัศน์ ที่ผ่านมานอกจากจะเป็นรูปแบบเหมือนจริงที่มีขีดจำกัดแล้วสื่อการแสดงออกก็ดูเหมือนจะนิยมกันอยู่ไม่กี่อย่างอีกด้วยซึ่งทำให้การแสดงออกในลักษณะเหมือนจริงมีจุดอ่อนยิ่งขึ้น


ภาพที่ 3 ศิลปะแบบเสมือนจริง

ที่มา กรภัสสร อินทรบำรุง.  บทความวิชาการ ความคิดสร้างสรรค์.

[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: 223331-ไฟล์บทความ-845423-1-10-20200709.pdf 

 

      มีการฝึกฝนศิลปะแบบเหมือนจริงจะเหมาะสมกับการฝึกฝนของนักเรียนที่โตขึ้นหรือผู้ศึกษา ทางด้านศิลปะโดยตรงก็ตามแต่กิจกรรมการเขียนภาพแบบเหมือนจริงก็ยังคงใช้ได้กับศิลปะเด็ก แต่ต้องเป็นเพียงส่วนหนึ่งซึ่งจะช่วยให้เด็กมีประสบการณ์และการแสดงออกที่หลากหลายยิ่งขึ้น และก็ต้องไม่ใช่แบบเหมือนจริงตามมาตรฐานของผู้ใหญ่ แต่เป็นแบบเหมือนจริงตามมาตรฐานของเด็ก โดยมีความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นพื้นฐานในการแสดงออก

3.ทฤษฎีปัญญา

            ปัจจุบันเราพบศิลปะร่วมสมัยที่มากมายหลายลักษณะหลายกลุ่มความคิด ที่ได้เสนอความคิดคำนึงออกมาเป็นผลงานศิลปะแบบแปลกๆท้าทายการทำความเข้าใจต่อลักษณะที่เร้าใจนั้นศิลปะสมัยใหม่หลายต่อหลายลักษณะไม่ใช่ประโยคบอกเล่าเพื่อจะบอกกับทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนผู้ชื่นชมไร้เสียซึ่งสติปัญญาความคิดแต่ศิลปะเหล่านั้นอาจจะเป็นประโยคคำถามเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งซึ่งเราต้องตอบคำถามหรือทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์นั้นๆเคยมีผู้กล่าวทำนองว่า“เมื่อคนเราฉลาดขึ้นเราจะบังคับให้ศิลปะคงความโง่เขลาเพียงสวยงามง่าย ๆ อยู่เช่นนั้นหรือ”


ภาพที่ 4 ศิลปะทฤษฎีปัญญา
                ที่มา ช่อผกา ปิติถาโน. การจัดประสบการณ์ความคิดสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย.  
         [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: http://enjoy-chophaka.blogspot.com/2015/02/

4. ทฤษฎีการรับรู้ทางศิลปศึกษา

            จากแนวคิดจิตตะวิทยาเกสตอลท์ (Gestalt Psychology) ในแง่การรับรู้จากสภาพส่วนรวมเศษส่วนย่อยได้ส่งผลสอบทฤษฎีของอาร์เนม(Arnheim’s Theory) ทฤษฎีของเขาได้เสนอหลักการ โดยสรุปว่า “เด็กเขียนภาพตามที่เห็น” โดยเชื่อในกระบวนการรับรู้ที่เริ่มจากการมองเห็นนิ่งต่างๆในภาพรวมทั้งหมดแล้วจึงมองเห็นรายละเอียดตามมาและในแง่การรับรู้โลกภายนอกของผู้ใหญ่ก็แตกต่างกับการรับรู้ของเด็กการแสดงออกทางด้านรายละเอียดและสัญลักษณ์ก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

      การแสดงออกทางศิลปะเด็กทางด้านรายละเอียดมากน้อย จึงไม่ใช่ความผิดของเด็ก แต่เป็นผลมาจากการรับรู้ที่แตกต่างกันโดยตรงและความจริงแล้วความงามของศิลปะทุกรูปแบบก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดมากหรือน้อยความง่ายหรือความซับซ้อนก็มีคุณค่าทางความงามได้เช่นเดียวกัน

         ตามแนวคิดของทฤษฎีการรับรู้ ได้ส่งผลมาถึงการเรียนการสอนเป็นอย่างมากช่วงเวลาหนึ่งโดยที่ครูจะพยายามชี้แนะให้เด็กมองไปยังวัตถุสิ่งแวดล้อมรอบตัว มองให้เห็นเป็นรูปทรงหรือเค้าโครงง่ายๆก่อน แล้วจึงมองละเอียดตามมา เช่น ถ้าจะให้เด็กเขียนภาพช้าง ก็ให้เด็กพิจารณาเค้าโครงใหญ่ๆ แล้วร่างภาพเป็นรูปทรงง่ายๆคือลำตัวสี่เหลี่ยมหัวสี่เหลี่ยม หมูสี่เหลี่ยม งวงและงาเป็นแท่งยาว หางเป็นเส้นตรง เป็นต้น หลังจากเด็กเขียนโครงสร้างส่วนรวมได้แล้วจึงให้ขีดเขียนเส้นโค้งคดให้ทั่วภาพตามลักษณะช้างที่ต้องการอีกครั้งหนึ่ง


                                                          ภาพที่ 5 การรับรู้ทางศิลปะ                                                                   ที่มา Blackfat TV.  ความงาม+คิดสร้างสรรค์ จึงเป็นศิลปะ.

[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: https://www.youtube.com/watch?v=-2aSYjxfoY8

5. ทฤษฎีความรู้สึกและการเห็น

            ในขณะที่ศิลปะในสังคมเน้นการแสดงออกทางด้านอารมณ์ความรู้สึกศิลปะเด็กก็หันมาเน้นการแสดงออกจากอารมณ์ความรู้สึกของเด็กตามทฤษฎีความรู้สึกและการเห็นด้วยเช่นกันเพราะเชื่อมั่นว่าความรู้สึกสัมผัสที่เด็กมีต่อสภาพแวดล้อมนั้นเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจเป็นความรู้สึกที่เราควรจะยอมรับและยอมให้เด็กเปิดเผยเพราะเมื่อเด็กแสดงออกในสิ่งที่เขารู้สึกสัมผัสนั่นย่อมเป็นทางหนึ่งที่เราจะเข้าใจเขาได้ความรู้สึกสัมผัสเช่นนี้ย่อมเป็นการช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสหรือการรับรู้ของเด็กให้มีความฉับไวต่อสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

        ปัจจุบันแนวคิดต่อศิลปะเด็กในเมืองไทยเริ่มเป็นที่ยอมรับทฤษฎีความรู้สึกและการเห็นกันอย่างกว้างขวางดังจะพบได้จากกิจกรรมทั่วไปที่เราอาจจะเนอเรื่องราวหรือเนื้อหาต่างๆให้เด็กแสดงออกเช่นบ้านของฉันอาชีพของพ่อแม่ การทำนา การจราจร การตัดไม้ทำลายป่า การทำงาน ฯลฯ ซึ่งเรื่องราวที่เสนอให้เด็กได้แสดงออกนั้นควรจะเป็นเรื่องราวที่มีลักษณะเป็นภาพแวดล้อมจริงๆของเด็กเพื่อเขาจะได้สามารถสะท้อนความรู้สึกสัมผัสโดยตรงในชีวิตประจำวันมาเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าได้



                ภาพที่ ศิลปะการแสดงออกทางความรู้สึกและการเห็น
ที่มา พรทิพย์ กมลวรรณ ซากิน๊ะ.  ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย.  
[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: http://pc54504ee053-5.blogspot.com/2014/11/blog-post.html

 6. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์                                                                    

      ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด : เน้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์  ความมีเหตุผล การแก้ปัญหา ความสามารถทางสมอง แบ่งออกเป็น 3 มิติ คือ

                1. เนื้อหา : มิติเกี่ยวกับข้อมูล หรือ สิ่งเร้าสื่อในการคิด สมองจะรับข้อมูลมี4 ลักษณะ ได้แก่ ภาพ  สัญลักษณ์  ภาษา พฤติกรรม

                  2. วิธีการคิด : มี 5 ลักษณะ ได้แก่  การรู้จักการเข้าใจ  การจำ  การคิดแบบอเนกนัย  การคิดแบบเอกนัย  การประเมินค่า

                    3. ผลการคิด : มี 6 ลักษณะ ได้แก่  หน่วย  จำพวก ความสัมพันธ์ ระบบ การแปลงรูป การประยุกต์

           ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอแรนซ์ : ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วย ได้แก่ ความคล่องแคล่วในการคิด  ความยืดหยุนในการคิด  ความริเริ่มในการคิดแบ่งลำดับความคิดเป็น 5 ขั้น

                        1) ขั้นค้นพบความจริง

                        2) ขั้นการค้นพบปัญหา

                        3) ขั้นการตั้งสมมติฐาน

                        4) ขั้นการค้นพบคำตอบ

                        5) ขั้นยอมรับผลจากการค้นพบ

            ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ : ประกอบด้วย 9 ด้าน

                        1. ความสามารถด้านภาษา

                        2. ความสามารถด้านตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์

                        3. ความสามารถด้านดนตรี

                        4. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์

                        5. ความสามารถด้านกีฬา

                        6. ความสามารถมนุษย์สัมพันธ์

                        7. ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์

                        8. ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา

                        9. ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างในการแก้ปัญหา

            ทฤษฎีโอตา : เดวิส และซัลลิแวนพัฒนาการทางศิลปะ วงจรการขีดเขียน มี 4 ขั้นตอน

                     1. ขั้นขีดเขี่ยเด็กวัย 2ขวบ ขีดๆเขียนๆตามธรรมชาติเป็นเส้นตรงบ้างโค้งบ้างปราศจากการควบคุม

                     2. เขียนเป็นรูปร่างเด็กวัย 3 ขวบเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นเขียนเป็นวงกลมควบคุมมือกับตาได้มากขึ้น

                      3. รู้จักออกแบบเด็กวัย 4 ขวบ เขียนเป็นรูปร่างได้เป็นเค้าโครงและวาดสี่เหลี่ยมได้

                        4. การวาดแสดงเป็นภาพ เด็กวัย 5 ขวบขึ้นไป เริ่มแยกแยะวัตถุได้รับรู้ความเป็นจริงควบคุมการเขียนได้วาดสามเหลี่ยมได้

7. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ

            - ทฤษฎีพัฒนาการ

                        พัฒนาการทางศิลปะของ โลเวนเฟลด์ (Lowenfeld)

            - ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์

            - ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Gulford)

            - ทฤษฎีที่ความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนช์ (Torance)

            - ทฤษฎีความรู้สองลักษณะ (สมอง สองซีก)

            - ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardnen)

            - ทฤษฎีโอตา (Aula)

 

 

ที่มา

ปิ่นทอง นันทะลาด. ทฤษฎีการแสดงออกทางศิลปะของเด็กปฐมวัย. (2560). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/180rJ10L7515700Ru8t8.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

ปิ่นทอง นันทะลาด. ทฤษฎีเสมือนจริง. (2560). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก:http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/180rJ10L7515700Ru8t8.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

ปิ่นทอง นันทะลาด. ทฤษฎีปัญญา. (2560). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก :http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/180rJ10L7515700Ru8t8.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

ปิ่นทอง นันทะลาด. ทฤษฎีการรับรู้ทางศิลปศึกษา. (2560). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก :http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/180rJ10L7515700Ru8t8.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

ปิ่นทอง นันทะลาด. ทฤษฎีความรู้สึกและการเห็น. (2560). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก:http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/180rJ10L7515700Ru8t8.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์. (2558). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก: http://koigjhi.blogspot.com/2015/01/blog-post_21.html?m=1

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

Tipwimon Nuanon.  ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ. (2562). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก: https://tipwiploy.blogspot.com/2019/01/?fbclid=IwAR3s 

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

มยุรี มนัยนิล. แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง. (2560). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก: http://www.nongkhae-ssk.go.th/files/dynamiccontent/file-81173-15083945751193288484.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

สุภาภรณ์ ปั่นกล่ำ. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย.(2557). [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก:http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/thapra/Suphaphorn_Pun-klum/fulltext.pdf

สืบค้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

4 ความคิดเห็น:

  1. - ศึกษาข้อมูลจากแหล่งเดียว ซึ่งน้อยมาก ดังนั้น ให้ขยายการศึกษาค้นคว้าเอกสารประเภทต่างๆ เช่น งานวิจัย หนังสือ ตำรา ฯลฯ
    - รายงานครั้งที่ 2 ส่งหัวข้อที่จัดเรียบเรียงใหม่ มีแหล่งข้อมูลเพิ่มขึ้น
    - เมื่อหัวข้อผ่านแล้วให้จัดทำรายงานประมวลความรู้ลงในบล็อก (หน้าเว็บนี้)
    - ตัวแทนกลุ่ม 1-2 คน ส่ง Gmail ให้ครูเชิญเป็นผู้เขียนบทความค่ะ

    ตอบลบ
  2. ดูเหมือน - ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเนื้อหานะคะ
    ภาพรวมดีขึ้นมากค่ะ อ่าน/ปรับ/สกัด จะนำเสนอเนื้อหาแค่ไหนดี
    บรรดา URL ที่ย่อมา หลายตัว Link ไม่ไปนะคะ https://www.google.com/url - มาไม่ครบหรือเปล่าคะ
    ลอง Copy Link ไปใส่ใน URL Shortener เช่น https://bitly.com/ นะคะ

    ตอบลบ