หน้าเว็บ

5.บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมศิลปะเด็ก

 บทบาทของครูเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย


บทบาทครูในการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

สารบัญ

1.บทบาทหน้าที่ของครูปฐมวัย

-บทบาทสำคัญของครูปฐมวัย

-บทบาทครูปฐมวัย

2.บทบาทและหน้าที่ของครูปฐมวัยในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

-การจัดประสบการณ์ทางด้านศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

-ข้อควรระวังในการจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

บทบาทครูในการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

1.บทบาทหน้าที่ของครูปฐมวัย

บทบาทสำคัญของครูปฐมวัย

     ขณะนี้ครูปฐมวัยพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมาเป็นลำดับ  การพัฒนาจำเป็นอย่างมาก  เพราะความรู้และนวัตกรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ครูปฐมวัยมีอิทธิพลต่อเด็กเป็นอย่างมากต่อจากพ่อแม่ซึ่งเป็นครูคนแรก มีวิจัยที่ยืนยันว่า สิ่งที่พ่อแม่ทำเพื่อช่วยการเรียนรู้ของเด็ก มีความสำคัญต่อความสำเร็จทางวิชาการยิ่งกว่าฐานะความมั่งคั่งของครอบครัว ซึ่งแปลว่าการที่พ่อแม่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้สำคัญมากกว่าพ่อแม่ที่ทิ้งลูกให้คนอื่นเลี้ยงเพื่อไปหาเงินทองมาซื้อวัตถุต่างๆ บำรุงความสุขสบายให้กับลูก
          การที่จะให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย  จิตใจ สติปัญญา  ความรู้และคุณธรรม  มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตามจุดประสงค์หลักที่กำหนดไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.2545 2559  นั้น ครูปฐมวัยมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการวางรากฐานให้เด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  คอมินิอุส (Comenius พ.ศ.2135 2213  จากเรื่อง  The Great  Didactic) กล่าวว่าถ้าเราประสงค์จะให้การศึกษาด้านคุณธรรมแก่คน  เราจะต้องฝึกฝนเขาขึ้นมาแต่เยาว์วัย ถ้าผู้ใดประสงค์จะก้าวล่วงไปสู่ภูมิปัญญาเราจะต้องเตรียมแผ่วถางทางให้แก่ผู้นั้น  ในขณะที่ความมานะของเขายังลุกโชนอยู่  จิตใจยังหล่อหลอมได้ง่ายและความจำยังแม่นยำอยู่

บทบาทครูปฐมวัย

          เด็กปฐมวัยมีความสำคัญและมีความแตกต่างกับเด็กในระดับอื่นทั้งด้านพุทธพิสัย เจตคติพิสัยและทักษะนิสัย  การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการพัฒนาเด็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ครูปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กดังนี้ ครูปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กดังนี้ ครูปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กดังนี้
          1. เป็นผู้ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย ครูต้องจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใหญ่  การประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อเล็ก   การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย การรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นในกิจวัตรประจำวัน
               2เป็นผู้ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ  ครูต้องจัดกิจกรรมให้เด็กได้ชื่นชมสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม  ให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ เล่นเป็นกลุ่ม  เล่นในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ร้องเพลงเล่นเครื่องดนตรีง่ายๆ  มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเสียงดนตรีและมีคุณธรรมจริยธรรม
               3. เป็นผู้ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม ครูต้องจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทางสังคม  การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตน  การเล่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การแก้ปัญหาในการเล่น การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น การปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่และความเป็นไทย
              4. เป็นผู้ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ครูต้องจัดกิจกรรมให้เด็กรู้จักการคิด การสังเกต  การจำแนก  การเปรียบเทียบจำนวนมิติสัมพันธ์  เวลา และการให้เด็กรู้จักใช้ภาษาแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด  การพูดกับผู้อื่น  การอธิบายเรื่องราว  การอ่านในหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก อ่านภาพหรือสัญลักษณ์จากหนังสือนิทาน/เรื่องราวที่สนใจ
              5เป็นผู้สร้างเสริมสมาธิ ครูต้องจัดกิจกรรมให้เด็กได้มีสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เช่น กิจกรรมสร้างสรรค์  การร้อยลูกปัด  การวาดภาพสีน้ำ  สีเทียน  กิจกรรมเล่นอิสระตามมุมต่าง ๆ
         ถือได้ว่าบทบาทของครูปฐมวัยมีผลหรือเรียกได้ว่ามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของเด็กในทุกด้านเป็นผู้วางรากฐานที่สำคัญต่อการเรียนรู้ที่เห็นได้ง่ายอย่างเช่น การมีสมาธิ ถ้าครูปฐมวัยรู้จักการให้เด็กมีสมาธิด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ  เช่น การเดินบนคาน  การเข้าไปในมุมหนังสือ   การทำงานประดิษฐ์  การเล่านิทาน  ฯลฯ เด็กได้รับการฝึกดังกล่าว เด็กสามารถที่จะมีสมาธิ  โดยรู้จักปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเมื่อโตขึ้น  เช่น เด็กรู้จักการฟังเนื้อหา เรื่องราวที่ครูพูดและจับใจความได้ เข้าห้องประชุมแล้วรู้จักเงียบ ไม่คุยตลอดส่งเสียงดังขณะประชุม  อ่านหนังสือได้เวลานานและเข้าใจพฤติกรรมดังกล่าวหากไม่ได้รับการฝึกในช่วงปฐมวัยจะยากที่จะฝึกในช่วงเป็นวัยผู้ใหญ่ การมีสมาธิที่ยกตัวอย่างเป็นเพียงเรื่องที่บางคนเห็นว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ โดยความเป็นจริงแล้วมีความสำคัญและเกี่ยวพันต่อเนื่องกับการเรียนรู้ของเด็ก  การพัฒนาบุคลิกภาพ  การพัฒนาสังคมและประเทศชาติ  ฉะนั้นครูปฐมวัยเป็นผู้ที่วางรากฐานการเรียนรู้ให้กับเด็กซึ่งเป็นภาระอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  โดยไม่หยุดยั้งเพราะเด็กเขาจะเติบโตและพัฒนาทุกวินาที

บทบาทและหน้าที่ของครูปฐมวัยในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
         
       1. ส่งเสริมให้เด็กถามและสนใจต่อคำถามและควรเป็นคำถามที่ไม่มุ่งคำตอบแบบคำตอบเดียว
           2. ตั้งใจฟังและเอาใจใส่ต่อความคิดแปลก ๆ ของเด็ก
           3. แสดงและเน้นให้เด็กเห็นว่าความคิดของเขามีคุณค่า
           4. กระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กแสดงความคิดหลาย ๆ ด้าน ตลอดจนการแสดงออกทางอารมณ์
           5. จัดบรรยากาศของห้องเรียนให้เด็กได้มีการเรียนรู้และค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ตลอดจนสื่อที่แปลก ๆ และใหม่ ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก
           6. พึงระลึกเสมอว่าการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไป
           7. ส่งเสริมให้เด็กใช้จินตนาการของตัวเอง และยอมรับการแสดงออกของเด็กด้วยความจริงใจ
           8. อย่าพยายามหล่อหลอมหรือกำหนดแบบให้เด็กมีความคิดและบุคลิกภาพเหมือนกันทุกคน
           9. กระตุ้นให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์โดยการ
               9.1 ส่งเสริมให้อยากรู้อยากเห็น
               9.2 ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงกิจกรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ
               9.3 ส่งเสริมความเชื่อมั่นและให้เด็กรู้สึกปลอดภัย          

2.การจัดประสบการณ์ทางด้านศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย 

     1. จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ ให้พร้อม และพอเพียงต่อความต้องการ ของนักเรียน  ในการเตรียมสถานที่นั้น  คุณครูควรจัดเนื้อที่ให้นักเรียนทำงานและเคลื่อนไหวได้สะดวก และปลอดภัย  อุปกรณ์ที่จัดให้ควรมีเพียงพอต่อนักเรียน เช่น ถ้ามีนักเรียน 5 คนที่วาดรูปด้วยสีโปสเตอร์  คุณครูควรที่จะเตรียมพู่กัน 5 อัน และจัดสี 1 ชุด ต่อนักเรียน 1-2 คน เพื่อที่เด็กจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน  และรีบเร่งทำงานเพื่อที่จะแบ่งอุปกรณ์ให้กับเพื่อนที่รออยู่  หากในห้องเรียนมีอุปกรณ์น้อย  คุณครูควรที่จะกำหนดจำนวนนักเรียนที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมและใช้วิธีผลัดกัน                                                       

         2. กิจกรรมที่จัดควรเป็น กิจกรรมปลายเปิด  เช่น  ระบายสีด้วยสีเทียน และสีโปสเตอร์ตามอิสระ เพื่อที่นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ด้วยตนเอง  มีอิสระในการสร้างสรรค์  ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่  รู้จักที่จะเลือกและตัดสินใจ (เลือกว่าจะวาดอะไร) และเรียนรู้ที่จะสื่อความคิดตนออกมาในรูปแบบที่ตนต้องการ        3. กิจกรรมที่จัดควรมีความ เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ  (Developmental Appropriate) ในการจัดกิจกรรม คุณครูควรคำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน กิจกรรมศิลปะควรมีความเหมาะสมต่อความ สามารถของเด็กในวัยนั้น ๆ  กิจกรรมบางอย่างถึงแม้ว่าเป็นกิจกรรมศิลปะให้เด็ก  แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเด็กในวัยปฐมวัย เช่น การพับกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ (origami)  จัดว่าไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยปฐมวัย  เนื่องจากมีขั้นตอนหลายขั้นและซับซ้อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนต้องทำตามรูปแบบที่กำหนดขั้นโดยดูครูเป็น ตัวอย่าง และนักเรียนส่วนมากไม่สามารถทำทุกขั้นตอนได้ด้วยตนเอง และต้องรับ ความช่วยเหลือจากครูเกือบตลอดเวลา  ซึ่งบางทีครูกลายเป็นคนพับเสียเอง การที่นักเรียนส่วนมากต้องการความช่วย เหลือตลอดกิจกรรมนั้น แสดงให้เห็นว่า พัฒนาการของเด็กยังไม่พร้อมที่เขาจะทำงานประเภทนี้ได้           

         4Process not  product  คุณครูควรเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลงาน  ระหว่างที่นักเรียนทำกิจกรรมศิลปะ  เขาได้ใช้กระบวนการการคิดต่าง ๆ  เพื่อที่จะสื่อความรู้สึกนึกคิดลงบนกระดาษ  การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน  ผลงานเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน                           

         5. ตั้งความคาดหวังให้เข้ากับ วัยของนักเรียน  เป็นเรื่องปกติที่คุณครูจะคาดหวังในนักเรียนของตน  หากแต่ความคาดหวังที่ตั้งขึ้นนั้น  ควรมีความเหมาะสมกับวัย  เช่น  เด็กวัย 3 ปี ยังเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสนใจและเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์เครื่องเขียน ต่าง ๆ กล้ามเนื้อมือนั้นยังไม่ แข็งแรงพอที่จะบังคับทิศทางของอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ การที่คุณครูคาดหวังให้เด็กในวัยนี้  ระบายสีโดยไม่ออกนอกเส้น  หรือวาดรูปเป็นรูปร่างเจาะจงนั้น  คุณครูสร้างความคาดหมายที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยนั้น  ดังนั้นในการที่ครูจะรู้ว่าจะจัดกิจกรรมอย่างไรให้เหมาะสม   ครูต้องมีความเข้าใจและความรู้เรื่องพัฒนาการของผู้เรียนของตน  และมีความรู้เรื่องการจัดกิจกรรมศิลปะ เพื่อที่จะตั้งเป้าหมายและความหวังให้เข้ากับผู้เรียน 

     6. ให้ความสนใจและคุณค่าต่อ กระบวนการทำงานและผลงานของนักเรียน  ซึ่งทำได้โดย พูดคุยกับนักเรียนและมีการนำเสนอผลงานการที่คุณครูนำเสนอผลงานของนักเรียน  โดยการติดไว้ในที่บอร์ดในห้อง บ่งบอกให้นักเรียนรับรู้ว่างานของเขามีคุณค่า  ซึ่งจะทำให้เขาจะรู้สึกชื่นชมและภูมิใจในความสามารถของตน  การพูดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของครูที่มีต่อการทำงานของ นักเรียน  ซึ่งเฌอเม็คเคอร์ (1986) แนะนำว่าในการสนทนากับเด็ก คุณครูควรให้เด็กพูดและแสดงความคิดเห็นของตนโดยที่ครูไม่ควรที่จะเปรียบ เทียบ หรือแก้ไขผลงานของเด็ก และแนะนำว่า  เวลาพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับงานศิลปะ  ครูควรพูดถึงวิธีการใช้อุปกรณ์  และการใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (elements of art) ในการวาดภาพ เช่น การใช้สี วิธีการวาดลายเส้น รูปทรง การจัดวางช่องว่างและใช้เนื้อที่ (space) เป็นต้น  (Schirrmacher, 1986) ตัวอย่าง เช่น ในภาพนี้ คุณครูสังเกตว่ามีเส้นหลายชนิดมีเส้นตรงข้างบน เส้นโค้งบนมุมขวามือ “หนูใช้ความพยายามมากเลยในการตัดกระดาษให้เป็นสามเหลี่ยมอันเล็ก ๆ” “ครูสังเกตว่าเวลาหนูวางขนแปรงให้แบนบนกระดาษและลากเส้นลงมา เส้นที่ออกมาจะหนา” เป็นต้น  การที่ครูพูดถึงงานของเด็กในลักษณะนี้เป็นการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา และแสดงให้เด็กเห็นว่าตัวครูมีความสนใจในกระบวนการทำงาน และให้คุณค่าต่องานของเขา  ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตนเอง  เชื่อมั่นในความสามารถและทักษะของตน        

          7. สนทนากับนักเรียน เรื่องการดูแลรักษาการใช้อุปกรณ์ และกติกาในการปฏิบัติกิจกรรม  ในระยะเริ่มต้น  ก่อนที่จะทำกิจกรรม  ครูควรที่จะพูดคุยให้เหตุผลกับนักเรียนเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์  เช่น  การที่จะให้นักเรียนทำการตัดแปะ  ครูอาจจะพูดและสาธิตให้นักเรียนดูว่า เมื่อใช้กรรไกรเสร็จแล้ว ควรเก็บไว้ในตะกร้าเหมือนเดิมหรือใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน เช่น ถ้าครูเห็นนักเรียนเหยียบกรรไกร  คุณครูควรอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมไม่ควรเหยียบและสอนให้นักเรียนรู้จักช่วยกันรักษาสมบัติของห้องเรียน                  8. กำหนดเวลาให้เหมาะสม กิจกรรมศิลปะควรจัดให้เป็นกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็กให้ความสนใจมาก และเป็นส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน และทักษะทางด้านต่างๆ ซึ่งในการจัดกิจกรรม ครูควรตั้งเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรม การที่ครูตั้งเวลาไว้น้อย และเร่งเด็กให้ทำงานเสร็จภายในเวลาอันสั้นนั้น สิ่งที่สื่อออกมา คือ  กระบวนการทำงานนั้นไม่สำคัญเท่าการทำให้เสร็จในเวลา ดังนั้น เด็กก็จะรีบทำงานให้เสร็จๆ ไป และไม่ใส่ใจในการทำงานเป็นปกติที่เด็กแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้นคุณครูควรมีความยืดหยุ่นในเวลา ถ้านักเรียนทำงานไม่เสร็จ คุณครูอาจจะให้เวลาเพิ่มเติม หรือให้เขาเก็บงานไว้ทำในวันต่อไป                                                                                       

        9. ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (StudentsInvolvement) นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการจัดเตรียม และทำความสะอาด เช่น ช่วยหยิบและเก็บกระดาษ และตะกร้าใส่ดินสอสี หรือช่วยเช็ดโต๊ะ เพื่อที่เขาจะได้รู้จักการช่วยเหลือตนเอง และเข้าใจถึงหน้าที่และรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และห้องเรียน

ข้อควรระวังในการจัดประสบการณ์ศิลปะ 

     1. ให้คะแนน หรือรางวัล เช่น ดาว สติกเกอร์ เป็นต้น การให้คะแนนหรือรางวัลนั้น คุณครูบางท่านอาจจะมองว่า เป็นการสร้างแรงเสริมให้กับเด็ก แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่เด็กจะได้ก็คือ ความไม่กล้าที่จะลองเพราะกลัวว่าออกมาไม่สวย ได้คะแนนไม่ดี ความกลัวว่าผลงานของตนจะไม่ดีพอไม่สวยพอ เปรียบเทียบและแข่งขันกับเพื่อน นอกจากนี้ยังทำให้เด็กคิดว่าการทำงานต้องมีผลทางวัตถุตอบแทน จึงให้ความสนใจที่ผลตอบแทนมากกว่ากระบวนการเรียนรู้ และยังจำกัดความคิดและสร้างสรรค์อย่างอิสระ                                       เนื่องจากนัก เรียนมุ่งหวังที่จะสร้างผลงานให้ถูกใจครู  เพื่อที่จะได้รับคะแนนดีหรือรางวัล  ซึ่งจริง ๆ แล้วศิลปะนั้นถือว่าเป็นการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดอย่างหนึ่งของแต่ละ บุคคล  ดังนั้นศิลปะไม่ควรถูกมองว่ามีถูกหรือผิด  มีสวยมากหรือสวยน้อย  มีดีมากหรือดีน้อยการที่เราให้คะแนน หรือรางวัล  ถือว่าเป็นการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อตัดสินความคิด ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวนั้นไม่มีมาตรฐานเพราะขึ้นอยู่กับความคิดและความพอใจของผู้สอนแต่ละบุคคลจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่ครูจะตัดสินผลงานของเด็กด้วยการให้คะแนน หรือรางวัล                      2. ให้นักเรียนระบายสี และตัดแปะกระดาษในกรอบ  ศิลปะเป็นการสื่อความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ  โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ สื่อสิ่งเหล่านั้นออกมาเป็นรูปธรรม การให้นักเรียนทำงานศิลปะที่มีกรอบกำหนดนั้น (pre-draw)  เป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก เนื่องจากรูปถูกกำหนดตายตัวไว้แล้ว  นักเรียนไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนตามจินตนาการของตนได้และต้องทำตามแบบฉบับที่ถูกกำหนดไว้                               ครูควรคำนึงว่า  งานศิลปะนั้นเป็นงานที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์  ไม่ใช่ กิจกรรมที่เน้นความสวยงามในแบบที่ผู้ใหญ่คาดหวังไว้  กิจกรรมศิลปะควรเป็นกิจกรรมปลายเปิดที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ  และสร้างสรรค์ผลงานตามความรู้สึกของตน                                                                                       

          3. ใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่าง สำเร็จแล้ว  การใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่างสำเร็จ (pre-cut shapes) ในการตัดแปะนั้น  สิ่งที่เด็กจะได้รับก็คือ การรู้จักแปะรูปด้วยกาว และการจัดวางเพื่อให้เกิดความเหมือน  กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นงานที่จำกัดความคิดสร้างสรรค์  และเน้นเพียงความสวยงามและความเหมือนซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจและความคิดของ ผู้สอน  กิจกรรมไม่ได้สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก   ดังนั้นคุณครูควรหลีกเหลี่ยงการตัดกระดาษสำเร็จรูปให้นักเรียน  ควรให้นักเรียนฉีก ตัด กระดาษเป็นรูปร่าง  ต่าง ๆ ตามความคิดส่วนตัว                                                                                                                                   

         4. วาดรูปเป็นตัวอย่างให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง  การที่คุณครูวาดภาพให้เด็กดูเป็นตัวอย่างนั้น  ส่งถึงผลเสียมากกว่าผลดี  เพราะเป็นธรรมดาที่เด็กนั้นจะชื่นชมผลงานของครูและต้องการที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เหมือนกับของผู้ใหญ่และเมื่อเขาไม่สามารถทำให้เหมือนได้เขาก็จะรู้สึกท้อแท้ ผิดหวังในตนเอง และจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีต่อกิจกรรมนั้น ๆ และต่อตนเอง                                                                                 

        5. ช่วยแก้ปัญหา  โดยการทำให้เวลาที่นักเรียนวาดอะไรไม่ได้บางทีคุณครูก็จะช่วยด้วยการทำให้   ซึ่งวิธีนั้นทำให้นักเรียนไม่รู้จักอดทนต่อการแก้ปัญหา และไม่พยายามเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง  ถ้านักเรียนวาดรูปไม่ได้  ครูควรพูดแนะนำเพื่อทำให้ขั้นตอนการวาดง่ายขึ้น  และใช้คำถามกระตุ้นเพื่อเด็กคิด 


ตัวอย่างศิลปะสำหรับเด็ก

                      รูปที่ 1 การเป่าสี  


              รูปที่ 2 การพิมพ์ภาพ



       รูปที่ 3 การวาดภาพระบายสี           


รูปที่ 4 ศิลปะสร้างสรรค์จากจานกระดาษ



                รูปที่ 5 การกลิ้งสี



รูปที่ 6 การปั้นแป้งโดว์

ที่มา : https://krudee1234.blogspot.com/2013/12/blog-post.html?m=1&fbclid=IwAR33tpttcKlFsr9FXPMoh7s2vA0EScnJGVMnQI1T6ua5uXJcoSqVi0FdNVg

ที่มา : https://sites.google.com/site/bankhruhwansxndek/silpa-sahrab-dek-pthm-w?fbclid=IwAR1ZH4HK2f8OnQbaWFcj6GKTNibk7qOLz5RplmlY2_MqEZ936nLgmX7KeAQ

3 ความคิดเห็น:

  1. แนะนำเอกสาร ค่ะ อ่าน บทที่ 2 หัวข้อ 2.1

    เอมสินธุ รามสูต. (2560). บทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
    http://161.200.145.125/bitstream/123456789/60722/1/5883402427.pdf

    ตอบลบ