การจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาล
เด็กมีความสุขไปกับการสำรวจ สืบค้น
และแสดงออกทางอารมณ์ของตนเองกับเรื่องรอบกาย
การจัดสุนทรียประสบการณ์จึงเป็นการฝึกฝนให้เด็กไวต่อการรับความรู้สึกและเพิ่มศักยภาพในการแสดงออกมากยิ่งขึ้น
ครูจึงมีบทบาทอย่างมากในการเป็นผู้จัดสุนทรียประสบการณ์ และในการจัดสุนทรียประสบการณ์ที่ดี
ผู้จัดต้องมีความเข้าใจในหลักการอันเป็นดั่งเสาหลักที่จะช่วยแนะนำและสนับสนุนให้เด็กเข้าถึงสุนทรียะได้อย่างเหมาะสม
บทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาล
เด็กเรียนรู้และซึมซับผ่านการเลียนแบบทางความคิดและการกระทำ
ครูอนุบาลจึงมีผลอย่างมากในการแนะนำให้เด็กได้เข้าถึงสุนทรียะรอบตัว
ผ่านการเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะ การจัดสื่อรวมถึงสภาพแวดล้อม
และเป็นผู้สนับสนุนให้เด็กตระหนักและชื่นชมในความงาม
Schirrmacher (2005) ได้กล่าวถึง
บทบาทครูกับการจัดสุนทรียประสบการณ์ไว้ว่า
สุนทรียะไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์สำเร็จรูป ชุดคู่มือ หรือหนังสือที่หาซื้อได้
แต่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่เข้าถึงได้ คำแนะนำที่จะทำให้ครู
เด็กและห้องเรียนเกิดสุนทรียะ มีดังนี้
1) ครูเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะแก่เด็ก บุคลิกภาพของครูมีส่วนสำคัญอย่าง มาก
ครูสามารถเป็นตัวอย่างในการรับรู้
และตระหนักถึงสุนทรียะแก่เด็กด้วยการแต่งกายที่ไม่จำเป็นต้องนำสมัย
แต่ต้องมีขนาดเหมาะสม สวมใส่สบาย เหมาะแก่การกระโดด เคลื่อนไหว เล่นกับเด็ก ๆ และ
สามารถนั่งกับพื้นได้ ครูสามารถสะท้อนรสนิยมในการเลือกใช้สีและคู่สี
ผ่านการเลือกเสื้อผ้า และเครื่องประดับ
2) ครูให้คุณค่ากับความงามภายในจิตใจ ครูสามารถเป็นตัวอย่างทางความงามจากภายในได้โดยการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและให้คุณค่ากับความแตกต่างแก่นักเรียนทุกคน
หาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และความงดงามของเด็กแต่ละบุคคล
และบอกให้เด็กรู้ถึงข้อดีของตน ถ่ายทอดข้อความที่งดงามแก่เด็ก
เด็กชื่นชอบที่จะพูดคุยในนำ้เสียงที่เป็นธรรมชาติ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเสียงเล็กเสียงน้อยหรือดัดเสียง
แต่ไม่ถึงกับนำ้เสียงราบเรียบเท่ากันหมด
3) ครูเป็นผู้จัดเตรียมผลงานศิลปะที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้เด็กทดลองงานศิลปะที่หลากหลาย
ครูสามารถแนะนำดนตรีประเภทต่าง ๆ ให้แก่เด็กได้ตลอดทุกช่วงเวลา เช่น
เพลงกล่อมเด็กช้า ๆ หรือเพลงวอลซ์ ในช่วงเวลาพัก เปิดเพลงคลาสสิคระหว่างอาหารว่าง
และเพลงมาร์ช หรือร๊อกแอนด์โรวในช่วงเวลาทำความสะอาด
4) ครูเป็นผู้จัดสภาพบริบทให้มีสุนทรียะ ห้องเรียนสามารถเป็นที่ที่ให้ความเพลิดเพลินควบคู่ไปกับบรรยากาศที่กระตุ้นการเรียนรู้
ครูสามารถนำผลงานศิลปะแขนงต่าง ๆ มาตกแต่งห้องแทนภาพตัวการ์ตูนสีสด
ครูควรใช้ความปราณีตในการเลือก พรม โปสเตอร์ กระจกสี หรือตัวอักษร ป้ายห้องเรียน
และเลือกสี วัสดุ การจัดวาง และตัวอักษร
รวมถึงใช้ประโยชน์จากหน้าต่างและแสงธรรมชาติด้วยการแขวนโมบายที่ประดิษฐ์จากกระดาษโปร่งแสงและงานศิลปะของเด็ก
การนำกระจกวางไว้ตามมุมต่าง ๆ หรือเพดาน
ทำให้รู้สึกเปิดกว้างและสะท้อนความงามภายในห้องเรียน ครูสามารถให้เด็กปลูกต้นไม้ในห้องและใช้ดอกไม้จากสวนรอบห้องในการประดับตกแต่ง
ห้องเรียน ครูควรให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ
เนื่องจากปริมาณมากไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป เมื่อตกแต่งด้วยของสวยงาม
ศูนย์การเรียนที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนสุนทรียประสบการณ์ในการทำศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
ควรปรับแต่งใหม่อยู่เสมอ และควรจัดบรรยากาศห้องให้รอบล้อมไป ด้วยของสวยงาม
รวมถึงการใช้สี รูปทรง รูปแบบ พื้นผิว และการออกแบบ อาทิ พืชพันธุ์จากธรรมชาติ
ได้แก่ ดอกไม้ ต้นไม้ ตัวอย่างของธรรมชาติ หรือผลไม้ประจำฤดูกาล
ชิ้นส่วนที่มีกลไกเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่
อุปกรณ์การช่าง ผลงานและอุปกรณ์ศิลปะ ได้แก่ ผลงานศิลปะ เช่น ภาพวาดเส้น ภาพพิมพ์
ภาพระบายสี เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเคลือบ ปฏิมากรรม เครื่องสาน เครื่องทอ
ผ้าบาติก งานปะติดสามมิติ หนังสือ โปสการ์ด งานพิมพ์ โปสเตอร์ ภาพสีน้ำ และเครื่องดนตรี
ของใช้และของสะสม ได้แก่ อุปกรณ์ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำสวน โปสการ์ดและของชำร่วย
เครื่องแต่งกายพื้นเมือง ของใช้พื้นเมือง ของสะสมต่าง ๆ แสตมป์ ตะกร้า
กระเบื้องเคลือบรูป สัตว์ ป้ายทะเบียน พัด หมวก เหรียญ กล่องดนตรี หัวลูกธนู
หินแร่
5) ครูเป็นผู้เชิญศิลปินมาบรรยาย เชิญศิลปินมืออาชีพ นักดนตรี นักเต้น
ผู้ทำงานฝีมือ อาสาสมัคร
และผู้ปกครองที่มีความสนใจในงานศิลปะหรือมีทักษะทางงานฝีมือ
ครูสามารถถามผู้ปกครองในวันประชุมผู้ปกครองว่าท่านใดมีความสนใจหรือมีความถนัดเฉพาะทาง
และสนใจเป็นอาสาสมัครในการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ครูควรทำความรู้จักกับศิลปิน
นักดนตรี และนักเต้น ประจำท้องถิ่น
ในการทำงานร่วมกันควรแนะนำอาสาสมัครให้ใช้วิธีที่ถนัดในการทำงานร่วมกับเด็ก
เนื่องจากแต่ละท่านจะมีวิธีที่แตกต่างกัน บางท่านอาจถนัดในการตอบคำถาม หรือทำให้ดู
บางท่านอาจสนุกกับการทำงานกับเด็กโดยตรงไปพร้อมๆ กัน
6) ครูเป็นผู้จัดทัศนศึกษาเพื่อชมความงาม ศิลปะมีอยู่มากมายในธรรมชาติ
และการเดินเยี่ยมชมธรรมชาติก็นับเป็นการทัศนศึกษา
นอกจากการเยี่ยมชมธรรมชาติรอบโรงเรียนแล้ว
ในแต่ละชุมชนยังมีสถานที่อื่นที่เด็กสามารถไปเยี่ยมชมได้อีก
ในการจัดทัศนศึกษาแก่เด็ก สิ่งที่ครูควรทำคือทดลองไปสถานที่นั้นด้วยตนเองเสียก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่อยากจะให้กับเด็กจะเกิดขึ้นในการทัศนศึกษาครั้งนี้
ทัศนศึกษายังรวมถึงการวางแผนอย่างดี พลังงาน และค่าใช้จ่าย
การเลือกสถานที่ที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของเด็ก ความสนใจของเด็ก และช่วงวัย
ช่วยให้การทัศนศึกษาประสบผลสำเร็จ
Feeney and Moravcik (1987) กล่าวถึง บทบาทครูว่า
ในการแนะนำเด็กให้รู้จักกับสุนทรียประสบการณ์มีความสำคัญเท่า ๆ
กับการที่เด็กได้เรียนรู้สุนทรียประสบการณ์ด้วยตนเอง
ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการวางฐานรากทางการชื่นชมศิลปะไปตลอดชีวิต
พัฒนาการทางสุนทรียะเกิดขึ้นจากการที่เด็กต้องการประสบการณ์จากความงามที่อยู่รอบตัวทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
การเปิดรับงานทัศนศิลป์
และโอกาสที่จะได้สนทนาเกี่ยวกับศิลปะและความงามร่วมกับผู้ใหญ่ที่มีความคิดอย่างรอบคอบ
ดังนั้นครูจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทในการสนับสนุนให้เด็กเกิดพัฒนาการทางสุนทรียะ
ดังนี้
1) ครูเป็นผู้สนับสนุน ด้วยการตระหนักและชื่นชมในความงามที่อยู่รอบตัว
แบ่งปันประสบการณ์ความงามนั้นร่วมกับเด็ก สังเกตและสนับสนุนการตอบสนอง
รวมถึงเชื่อในคุณค่า ของความงาม ศิลปะและธรรมชาติที่ส่งผลต่อชีวิต
2) ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ด้วยการเป็นผู้จัดบรรยากาศในห้องเรียนและเตรียมวัสดุอุปกรณ์
รวมถึง ความสว่าง ความสะอาด การจัดเรียง การตกแต่ง และการแสดงผลงาน
3) ครูเป็นผู้จัดบริบท ด้วยการจัดกิจกรรมให้เด็กได้ชื่นชมผลงานศิลปะจากศิลปินร่วมกับครู
และจัดกิจกรรมให้เด็กได้มีประสบการณ์ร่วมกับศิลปิน
จัดบรรยากาศด้วยการตกแต่งห้องด้วยผลงานศิลปิน
หรือผลงานศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงเทคนิค สีสัน และสาระของภาพ
ผลงานดังกล่าวอาจมาจากภาพประกอบในหนังสือนิทาน
Lim (2005) ได้ให้คำจัดกัดความ บทบาทของครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์ไว้ ว่า
ครูเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำหน้าที่สนับสนุนสุนทรียประสบการณ์ต่อเด็กอย่างมีความหมาย
ครูไม่เพียงเป็นผู้สนับสนุนการทดลองให้ใช้อุปกรณ์ศิลปะที่มีคุณภาพเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
แต่ครูยังทำหน้าที่เปลี่ยนกิจกรรมศิลปะทั่วไปสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความหมายที่รวมกระบวนการคิด
และความรู้สึกเข้าด้วยกัน
โดยให้ความสำำคัญกับขั้นตอนในการทำงานมากกว่าผลลัพธ์ที่ได้ ครูจึงมีบทบาท ดังนี้
1) เป็นผู้เฝ้าสังเกตพัฒนาการของนักเรียนในด้านอารมณ์และความคิด
2) เป็นผู้เตรียมอุปกรณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ท้าทายความสามารถ
3) เป็นผู้สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและคำถามที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนจากประสบการณ์สู่การแสดงออกทางรูปแบบศิลปะ
อัธยา ศาลยาชีวิน (2548)
ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการจัดสุนทรียะภายใต้แนวคิดที่แตกต่างของโรงเรียนอนุบาลในหัวข้อ
“การศึกษาการจัดสุนทรียะศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยในโรงเรียนตามแนวการศึกษาวอลดอร์ฟและเรกจิโอ
เอมิเลีย โดยผู้วิจัยศึกษาการรับรู้สุนทรียะของผู้บริหาร ครู
และแนวทางการประยุกต์ใช้สุนทรียศึกษาในชั้นเรียน
ด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม สัมภาษณ์ผู้บริหารและครู
เอกสารที่เกี่ยวข้อง การจัดสิ่งแวดล้อมในชั้นเรียน ผลการศึกษา พบว่า
ผู้บริหารและครูทั้งสองโรงเรียน มีการรับรู้สุนทรียศึกษาแตกต่างกันตามหลักปรัชญาของหลักสูตรการศึกษา
ส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดสุนทรียศึกษาที่ความแตกต่างกัน คือ
ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเด็กในฐานะมนุษย์ผู้มีมิติทางจิตวิญญาณอันมาจากมนุษยปรัชญาอันเป็นแนวคิดพื้นฐานของโรงเรียนตามแนวการศึกษาวอลดอร์ฟ
และภาพลักษณ์เกี่ยวกับเด็กในฐานะมนุษย์ผู้มีมิติทางสติปัญญาและสังคมตามแนวการศึกษาเรกจิโอ
ซึ่งนำไปสู่ความแตกต่างทางด้านเป้าหมายของศิลปะหรือสุนทรียะศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับทฤษฎีศิลปะที่แตกต่างกัน
Chen (2014) ศึกษาสุนทรียศาสตร์ของครูอนุบาลในด้านความเชื่อและการนำไปปฏิบัติในประเทศไต้หวัน
โดยการสอบถามและสัมภาษณ์ พบว่า
นักการศึกษาปฐมวัยมีความเชื่อในสุนทรียะสูงกว่าการนำไปปฏิบัติจริงในชั้นเรียน
สถานที่ และภูมิหลังด้านการศึกษามีผลต่อความเชื่อ และการนำไปปฏิบัติจริงในชั้นเรียน
ระยะเวลาในการสอนของครูไม่มีผลต่อความเชื่อแต่มีผลต่อการปฏิบัติ
ครูช่วยส่งเสริมพัฒนาการความรู้สึกสุนทรียะได้ด้วยการจัดประสบการณ์ให้เด็กสัมผัสกับธรรมชาติและงานศิลปะ
ครูควรเป็นตัวอย่างในการชื่นชมผลงานศิลปะที่หลากหลายและศิลปะพื้นเมือง นอกจากนี้ยังได้ให้คำแนะให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้จัดกิจกรรมในการสนับสนุนสุนทรียะแก่เด็กปฐมวัย
รวมถึงควรนำวิชาสุนทรียะบรรจุไว้ในหลักสูตรครูปฐมวัย
กล่าวได้ว่า
ครูเป็นผู้มีบทบาทอย่างยิ่งในการจัดสุนทรียประสบการณ์แก่เด็กวัยอนุบาล
ไม่เพียงบทบาทในการจัดกิจกรรมและจัดบริบท
เพื่อแนะนำให้เด็กเห็นถึงคุณค่าของความงามที่อยู่รอบตัวอันเป็นพื้นฐานของการรับรู้ทางสุนทรียะ
แต่ยังรวมถึงการแนะนำด้วยการเป็นแบบอย่าง ทั้งทางด้านกายภาพที่เด็กสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
และทางด้านความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
อีกทั้งการเป็นผู้สังเกตพัฒนาการทางสุนทรียะและการตอบสนองของเด็กอย่างละเอียด
ข้อแนะนำในการจัดสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และบริบทการเรียนรู้
เด็กอนุบาลนอกจากเรียนรู้ผ่านการลงมือกระทำ
ครูจำเป็นต้องจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เหมาะสม เพื่อสร้างให้เด็กสนใจ
มีสมาธิและรู้สึกผ่อนคลายในการทำกิจกรรมมากยิ่งขึ้น
รวมถึงเป็นการหล่อหลอมรสนิยมอันดี
การจัดเตรียมสื่อและบริบทจึงนับเป็นการสนับสนุนในการรับรู้ทางสุนทรียะที่ดีได้อีกทางหนึ่ง
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Lowenfeld and Brittain (1982) ได้ให้หลักในการเลือกสี
การจัดพื้นที่ และสื่อ อุปกรณ์ศิลปะไว้ ดังนี้
1) สี เด็กในช่วงวัยอนุบาลเป็นวัยที่เริ่มเข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของสีกับสิ่งรอบตัว
ดังนั้นควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองใช้สีอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงสีและอารมณ์
2)
การจัดพื้นที่ เด็กในวัยอนุบาลยังเป็นช่วงวัยที่เริ่มจดจำในเรื่องของทิศทาง
ลำดับขั้น การจัดพื้นที่จึงส่งผลต่อกระบวนการคิดทั้งหมดของเด็ก
เนื่องจากเด็กวัยอนุบาลเรียนรู้ผ่านการกระทำได้มากกว่าคำพูด
การที่เด็กสามารถหยิบจับ มองเห็นการจัดวางอย่างมีลำดับ และเคลื่อนไหวไปรอบห้องด้วยตนเองทำให้เด็กเข้าใจในลำดับ
พื้นที่ว่าง และตำแหน่ง
ดังนั้นการจัดพื้นที่ในห้องเรียนควรเอื้อต่อการเคลื่อนไหวและการเรียนรู้ของเด็ก
3) สื่อ
อุปกรณ์ศิลปะ
ที่เหมาะสมกับเด็กในช่วงวัยอนุบาลควรเป็นอุปกรณ์ศิลปะที่คนทุกช่วงวัยสามารถใช้ได้และมีคุณภาพดี
หากเด็กต้องการระบายสีน้ำด้วยแปรง แปรงที่ใช้ทาสีควรอุ้มสี
กระดาษที่ดูดซับสีได้ดีขนาด 18 x 24 นิ้ว
โต๊ะพื้นผิวเรียบหรือพื้นผิวเรียบเพื่อใช้เป็นที่รองวาด หากเด็กวาดสีเทียน
สีเทียนที่ใช้ควรเป็นสีเทียนที่เมื่อระบายแล้วสีติดกระดาษได้ง่าย
กระดาษที่ใช้ควรมีขนาด 12 x 18 นิ้ว สีเทียนควรมีขนาดใหญ่และไม่มีกระดาษห่อ
เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทุกทิศทาง ดินสอควรมีไว้เพียงเพื่อใส่รายละเอียดเล็กน้อย
ดินเหนียวนับเป็นอุปกรณ์ที่ดีในการสร้างชิ้นงาน 3 มิติ
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ศิลปะอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น สีชอล์ก ปากกาเมจิก
กระดาษสี อุปกรณ์ตัดแปะ กรรไกร และอื่น ๆ สิ่งที่ควรระวังคือ
การนำอุปกรณ์ศิลปะมาดัดแปลง เทคนิคในการใช้งาน เช่น การทำสเตนซิล การหยดสี
หรือการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เด็กไม่คุ้นเคย
ศิรประภา พฤทธิกุล (2560)
ได้นำเสนอการจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนของโรงเรียนอนุบาลวอลดอร์ฟที่พยายามสร้างบรรยากาศแห่งความสงบมั่นคง
เรียบง่าย งดงาม น่ารื่นรมย์ ให้พลังในการสร้างแรงบัลดาลใจ จินตนาการ
และพลังแห่งการลงมือ กระทำอย่างตั้งใจไว้ ดังนี้
1) ใช้โทนสีอบอุ่นสำหรับผนังห้องและผ้าม่าน
การเลือกสีให้เหมาะตามขั้นพัฒนาการ ไล่ไปตามวงจรแถบสีของเกอเธต์
การเลือกใช้สีสำหรับผนังหรือผ้าม่านที่เหมาะกับห้องเรียนอนุบาลมากที่สุด คือ
สีชมพูอมส้มหรือสีแห่งรุ่งอรุณ สีที่เด็กมองเห็นแสงแดดยามรุ่งอรุณ ผ่านท้องของแม่เมื่ออยู่ในครรภ์
สีชมพูอมส้มที่ใช้จะเป็นโทนสีที่นุ่มนวลและอบอุ่น ไม่จ้าบาดตาหรือ สะท้อนแสง
สำหรับเพดานควรที่จะเป็นสีขาวหรือชมพูอมส้มที่จางกว่าสีผนัง
เพื่อสีอ่อนอยู่ระดับบน และสีเข้มอยู่ระดับล่าง
เนื่องจากโทนสีอบอุ่นจะให้ประสบการณ์ภายในเกี่ยวกับพลังการกระตือรือร้นในการลงมือกระทำเป้าหมาย
และความอบอุ่น นอกจากนี้ ยังเป็นสีที่สร้างความรู้สึกอ่อนโยน เป็นสี แห่งความรัก
ความบริสุทธิ์ เป็นสีแห่งคุณลักษณะของผู้หญิงหรือความเป็นแม่
ตลอดจนช่วยให้ร่างกายสดชื่น แจ่มใส ไม่เคร่งเครียดอ่อนล้า
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้เด็กสงบ มีสมาธิต่อจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของตน
การใช้สีที่ฉูดฉาดและหลากหลายจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ตื่นเต้น เร้าใจมากเกินไป
ส่งผลให้เด็กลุกลี้ลุกลน ในทางกลับกัน หากใช้สีหม่นทึบ เช่น สีเทา สีน้ำตาล จะเป็น
การสร้างบรรยากาศที่ซึมเซามากเกินไป และหากใช้กระดาษกรุผนังที่เป็นภาพหรือลวดลาย
จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่น่าเบื่อสำหรับจินตนาการที่มีชีวิตชีวาของเด็ก
2) เปิดรับแสงธรรมชาติในระดับที่เหมาะสม
ห้องเรียนอนุบาลควรออกแบบให้รับแสงธรรมชาติในระดับที่พอเหมาะ
ไม่จ้าเกินไปหรือว่ามืดทึมเกินไป
การทำกิจกรรมในห้องที่มีแสงตามธรรมชาติจะช่วยให้เด็กรู้จักปรับตัวและเรียนรู้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าที่เกินความจำเป็น
หากห้องเรียนมืดเกินไป
ควรตั้งโคมไฟที่มีแสงสว่างเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ไว้ในบางจุดที่จำเป็น
ไม่ควรใช้แสงไฟนีออนที่เปิดไปทั่วทั้งห้อง
ในทางกลับกันหากห้องเรียนมีแสงจ้ามากเกินไปจะส่งผลให้เกิดความร้อนและทำให้เด็กขาดสมาธิ
จึงควรใช้ผ้าม่านโทนสีที่เหมาะกับเด็กอนุบาลช่วยกรองแสง
3) แวดล้อมด้วยเสียงธรรมชาติและใช้เสียงที่ไพเราะนุ่มนวล
เสียงเป็นสิ่งเร้าที่เด็กไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เสียงที่ใช้กับเด็กอนุบาลควรเป็นเสียงที่ไพเราะ อ่อนโยนนุ่มนวล
มีความดังในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้จิตใจอ่อนโยน
ดังนั้นห้องเรียนจึงควรอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ ได้ยินเสียงนกร้อง
เสียงลมพัดใบไม้
อีกทั้งกลิ่นหอมของธรรมชาตินับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศสงบและอ่อนโยน
นอกจากนี้เสียงที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอน เช่น เสียงร้องเพลง ท่องคำกลอน
เสียงครูเล่นเครื่องดนตรี และเล่านิทาน โดยครูจะไม่พูดพร่ำเพรื่อ
เนื่องด้วยเด็กปฐมวัยไม่ได้เรียนรู้ผ่านการสั่งสอน ทั้งนี้
การจัดตารางกิจกรรมที่มีจังหวะแบบแผนที่คงที่
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดการชั้นเรียนไหลลื่น
โดยครูไม่ต้องออกคำสั่งอยู่ตลอดเวลา
4) จัดบรรยากาศที่อบอุ่นคล้ายบ้านมีสิ่งแวดล้อมทางสายตาที่สงบมั่นคง
โดยการปกป้องการมองเห็นทางสายตาจากสภาพแวดล้อมที่มีสีฉูดฉาด
หลากหลายมารวมกันมากเกินไป สีมืดทึมซึมเซามากเกินไป
และสิ่งตกแต่งที่มากมายและลวดลายที่ละลานตา
ตลอดจนการออกแบบห้องเรียนให้มีบรรยากาศคล้ายบ้าน
จัดมุมที่ให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย ใช้เครื่องเรือนและของใช้จากวัสดุธรรมชาติ
5) มีความเป็นธรรมชาติ วัสดุ รูปทรงอิสระ และความงดงาม การออกแบบ
และตกแต่งห้องเรียนจึงเน้นความเป็นธรรมชาติ เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ
ที่มีรูปทรงอิสระตามธรรมชาติ
เนื่องจากการตกแต่งห้องเรียนอนุบาลหากใช้เพียงรูปทรงทางคณิตศาสตร์ที่ตายตัวเท่านั้น
จะส่งผลอย่างลึกซึ้งในการบั่นทอนพลังชีวิต ซึ่งกำลังทำงานสร้างรูปกายของเด็ก
การตกแต่งห้องเรียน จะสะท้อนความแตกต่างของฤดูกาลและเทศกาลต่าง ๆ
ผ่านการจัดโต๊ะธรรมชาติ (nature table) โดยของที่เลือกมาประดับตกแต่งมาจาก ผ้า
สื่อสิ่งของที่เป็นของจริงและของที่ครูหรือเด็กทำขึ้น นอกจากนี้เด็ก ๆ
ยังสามารถนำสิ่งที่พบจากธรรมชาติมาร่วมจัดวางบนโต๊ะ เช่น ดอกไม้ ใบไม้ กิ่งไม้
เปลือกหอย ปีกแมลง ก้อนหิน ซึ่งสิ่งของต่าง ๆ สามารถเพิ่มเติมได้ทุกวัน
ในขณะที่สิ่งของบางอย่างจะค่อย ๆ จางหายไป
ตลอดจนการตกแต่งห้องให้มีความงดงามของธรรมชาติในบริเวณต่าง ๆ เช่น
การจัดแจกันบนโต๊ะอาหาร ที่วางผลงานศิลปะของเด็ก
รวมถึงการใช้ภาพสัญลักษณ์ของเด็กแต่ละคน แทนการใช้ตราประทับ
6) ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่หลากหลายและมีขนาดเหมาะสม
การจัดผังห้องเรียนต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนรู้และกิจวัตรที่หลากหลาย
และ คำนึงถึงขนาดของเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นผู้ใช้ ดังนี้
ประการแรก
ห้องเรียนอนุบาลควรออกแบบให้มีส่วนที่เป็นพื้นที่ว่างเพียงพอ
สำหรับกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ การเล่นสร้างสรรค์ กิจกรรมวงกลม
ซึ่งครูและเด็กจะร่วมกันร้องเพลงและเคลื่อนไหว เล่านิทาน
อีกทั้งสำหรับการปูที่นอนเพื่อให้เด็กได้พักผ่อนนอนกลางวัน
ประการที่สอง
ห้องเรียนอนุบาลควรออกแบบให้มีส่วนสำหรับจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เครื่องเรือน
ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติคุณภาพสูง สามารถเคลื่อนย้ายสะดวก น้ำหนักเบา ขนาด
เหมาะสมกับเด็ก อาจเป็นโต๊ะเดี่ยวที่สามารถแยกออกจากกัน
และนำมาต่อกันเป็นโต๊ะใหญ่ได้ เพื่อสามารถจัดวางได้อย่างยืดหยุ่น
ประการที่สาม
ห้องเรียนอนุบาลควรออกแบบให้มีชั้นสำหรับเก็บของเล่นของเด็ก
เนื่องจากของเล่นคือเครื่องมือในการทำงานของเด็ก ดังนั้น
ห้องเรียนจึงออกแบบให้มีบริเวณจัดวางของเล่นที่มีลักษณะเรียบง่าย ปลายเปิด
จากวัสดุธรรมชาติ มีมุมตุ๊กตา งานช่าง และของเล่นต่างๆ เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ลูกไม้
ก้อนหิน ท่อนไม้ ของใช้ การจัดวางควรออกแบบให้น่าสนใจ งดงาม มีความสงบสุขคล้ายบ้าน
ส่งเสริมแรงบันดาลใจในการเล่น เด็ก ๆ สามารถหยิบใช้และเก็บได้อย่างสะดวก
ประการที่สี่
ห้องเรียนอนุบาลควรออกแบบให้มีส่วนเก็บอุปกรณ์ทั่วไปและ ส่วนบริการ ได้แก่
ที่เก็บของใช้ส่วนตัวของเด็กและของครู ของใช้ในกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ
ออกแบบให้มีมุมครัวหรือส่วนเตรียมอาหาร มุมสำหรับวางอ่างล้างมือขนาดใหญ่ ยาว 28
นิ้ว กว้าง 17 นิ้ว ลึก 7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดเพียงพอสำหรับจุ่มกระดาษวาดเขียน
ประการที่ห้า
ห้องเรียนควรคำนึงถึงความปลอดภัย รวมทั้งความสะดวกในการใช้งานสำหรับเด็กเล็ก เช่น
เครื่องเรือนมีขนาดและความสูงเหมาะสมกับกายภาพเด็ก น้ำหนักเบา ไม่มีเหลี่ยมคม
การติดตั้งอ่างควรอยู่ในระดับที่เด็ก ๆ สามารถเอื้อมถึงระดับน้ำได้โดยง่าย
ออกแบบให้ มีห้องน้ำและส่วนอาบน้ำติดตั้งอยู่ในห้องเรียนที่ครูสามารถดูแลได้โดยง่าย
สุขภัณฑ์มีขนาดเหมาะสมกับเด็ก เป็นต้น
Feeney and Moravcik (1987) ได้ให้ข้อแนะนำในการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสุนทรียะไว้
ดังนี้
1) สี สีที่สดใสจะช่วยให้ห้องโดดเด่นแต่อาจรบกวนรูปทรงทางศิลปะ
และความงามจากธรรมชาติ การใช้สีที่อ่อน เบาบาง ไม่ฉูดฉาด สำหรับผนัง และเพดาน
จะช่วยให้เด็กมองทุกอย่างเป็นภาพรวมไม่แยกเป็นส่วน ๆ
และควรหลีกเลี่ยงการใช้ลวดลายที่หลากหลายในบริเวณที่เดียว เนื่องจากจะทำให้รบกวนทางสายตาและเร้าเด็กมากจนเกินไป
2) เครื่องเรือน การจัดเครื่องเรือนประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน
ใช้สีที่เป็นธรรมชาติและเป็นกลาง เพื่อให้เด็กสนใจที่อุปกรณ์การเรียนบนชั้นวาง
ควรเลือกเครื่องเรือนที่ทำจากวัสดุธรรมชาติแทนเหล็กหรือพลาสติก
หากจำเป็นต้องทาสีให้ใช้สีกลางเพียงสีเดียวสำหรับทุกอย่าง เพื่อให้ยืดหยุ่นต่อการเคลื่อนย้ายจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอาจเปิดโอกาสให้เด็กได้ทาสี
และขัดเครื่องเรือนด้วยตนเอง
3) การจัดเก็บอุปกรณ์ เคลื่อนย้ายอุปกรณ์บนชั้นแทนการกองทุกอย่างรวมกัน
การปล่อยให้ชั้นวางของดูรกทำให้ยากแก่การดูแลสำหรับเด็ก
ตะกร้าเป็นการจัดเก็บอีกหนึ่งวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ หากถังเก็บของเต็ม
ให้นำสิ่งของประเภทเดียวกันเก็บรวมกันบนชั้น หากใช้กล่องเก็บของเต็ม
ให้ปิดด้วยกระดาษสีเรียบ ๆ หรือทาสีทับ
4) การตกแต่ง การแสดงผลงานศิลปะของเด็ก
การจัดแสดงผลงานศิลปิน รวมถึงภาพโปสเตอร์ทั่วไป ผลงานศิลปะจากทั้งศิลปิน
และผลงานศิลปะของเด็ก ควรจัดวางในระดับสายตาของเด็ก
โดยสามารถใช้ชั้นบนสุดของชั้นวางของในการจัดวางงานปฏิมากรรม ต้นไม้
และสิ่งของจากธรรมชาติ เช่น เปลือกหอย ก้อนหิน อ่างปลา
หลีกเลี่ยงการวางอุปกรณ์ของครูในบริเวณดังกล่าว
หากไม่มีทางเลือกให้สร้างตู้เก็บวัสดุอุปกรณ์ของครูด้วยกล่องที่มีฝาปิด
5) การจัดสภาพแวดล้อมภายนอก
การออกแบบหรือจัดวางโครงสร้าง
ควรเป็นการเข้าหาธรรมชาติแทนการบุกรุก หากเป็นไปได้ควรใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น
ไม้หรือผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ แทนการทาสีลงบนเหล็ก พลาสติกหรือไฟเบอร์กราส
จัดเตรียมสถานที่ในการจัดเก็บอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการรักษาอุปกรณ์ เปิดโอกาสให้เด็ก
ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมในการช่วยกันรักษาความสะอาด
เพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการจัดสวนหรือการจัดวางหิน
เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่กลางแจ้งก็ต้องการความสนใจ และการดูแลเช่นกัน
Massey (2017) ผู้อำนวยการโรงเรียนตามแนวการศึกษาเรกจิโอ
เอมิเลีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงการเลือก สื่อ วัสดุ อุปกรณ์
ที่สนับสนุนการทำงานศิลปะอย่างมีความหมายว่า
การเลือกสื่อมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึงสิ่งที่คิด มุมมอง
และ เรื่องราว โดยมีข้อแนะนำในการเลือกสื่อ ดังนี้
1) สื่อ
วัสดุ อุปกรณ์ ที่สวยงามน่าดึงดูดใจ
จะช่วยให้เด็กอยากเล่น อยาก สัมผัส และใช้งาน
2) การตอบสนองของสื่อ
วัสดุ อุปกรณ์
ที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เช่น สีไม้ สีเทียน แทนการใช้ปากกาเมจิก
หรือ การใช้ดินเหนียว แทนการใช้ดินน้ำมันหรือแป้งโดว์
3) สื่อ
วัสดุ อุปกรณ์ปลายเปิด ที่เด็กสามารถนำมาเล่น ปรับแต่ง
และปรับแต่งเพิ่มเติมได้อีกครั้ง
สื่อเหล่านี้ช่วยให้เด็กสร้างเรื่องราวได้หลากหลาย เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ
กิ่งไม้ ใบไม้แห้ง ขยะรีไซเคิล
Rucci and McKenna (2016) ได้ให้คำแนะนำในการจัดเตรียมอุปกรณ์ศิลปะพื้นฐานที่ควรมีประจำห้อง เพื่อนำไปต่อยอดในการทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ดังนี้
1) กระดาษประเภทต่าง
ๆ ได้แก่
กระดาษขาวธรรมดา กระดาษสีน้ำ กระดาษขาวเทา กระดาษสี
กระดาษสีน้ำตาลขนาดใหญ่เพื่อรองกันเปื้อน
2) สีเพื่อการวาด ได้แก่ สีไม้ สีเทียน สีเมจิก
3) สีเพื่อการระบาย ได้แก่ สีโปสเตอร์
ขวดแก้วขนาดเล็กเพื่อเก็บสี สีน้ำ แปรงทาสี
4) อุปกรณ์ ได้แก่ กาวสีขาว กาวกากเพชร กาวแท่ง
เทปสี กรรไกร ที่เย็บ กระดาษ เทปกาวที่ลอกได้เพื่อกันสีหรือยึดกระดาษไว้กับโต๊ะ
Apps and MacDonald (2012) ศึกษาสุนทรียะในการออกแบบจัดบรรยากาศห้องเรียน
ด้วยการศึกษาการจัดห้องและนำไปใช้จริงกับนักศึกษาครูอนุบาลประจำการและครูฝึกหัด
ด้วยการสะท้อนการจัดการจัดบรรยากาศในห้องเรียนผ่านรูปถ่ายโดยวิเคราะห์ตามหลักการจัดห้องเรียน
4 ประการ ประกอบด้วย 1) เส้นและการเคลื่อนไหว 2) รูปทรงและสีสัน 3) รูปแบบ จังหวะ
และพื้นผิว 4) ระยะหน้าระยะกลางและระยะหลัง
ทำให้พบว่าการจัดบรรยากาศไม่เพียงเป็นแค่การสร้างบรรยากาศให้ห้องเรียนงดงาม
แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมการรับรู้ การมีส่วนร่วมและเป็นการปลูกฝังการออกแบบแก่เด็ก
รวมถึงสนับสนุนหลักสูตรการเรียนการสอน ช่วยให้การสอนของครู
และการเรียนรู้วัฒนธรรมของเด็กดีขึ้น
การออกแบบและการสอนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเลี้ยงดู
เป็นไปอย่างองค์รวมมากยิ่งขึ้น
และช่วยให้ประสบการณ์การสอนของครูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
Kindler
(1995) ได้ศึกษาความสำคัญของผู้ใหญ่ในการสนับสนุนพัฒนาการทางสุนทรียะในเด็กปฐมวัย ด้วยการศึกษาทฤษฎีพัฒนาการทางสุนทรียะของนักทฤษฎีหลายท่าน
บทบาทครูในการส่งเสริมพัฒนาการทางสุนทรียะและการนำไปใช้ในห้องเรียนที่มีการสอนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
(child-center) โดยเก็บข้อมูลจากสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีช่วงอายุ 18 เดือน – 3 ปี
เป็นเวลา 9 เดือน พบว่า อุปกรณ์ศิลปะไม่ดึงดูดใจเด็กเท่ากับมุมบทบาทสมมุติ
แต่เมื่อผู้ดูแลเด็กใช้อุปกรณ์ศิลปะจะสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้มากกว่ามุมบทบาทสมมุติ
กล่าวได้ว่าอุปกรณ์ศิลปะไม่สำคัญเท่ากับการเป็นแบบอย่างทางสุนทรียะของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวเด็ก
และนอกจากการทำงานศิลปะ ผู้ใหญ่สามารถแนะนำให้เด็กเกิดการเติบโตทางสุนทรียะผ่านการใช้ภาษาในการสื่อสาร
สรุปได้ว่า การจัดสื่อ วัสดุ อุปกรณ์
และบริบทการเรียนรู้ เป็นดั่งครูคนที่สองของเด็ก
ที่จะช่วยสนับสนุนและกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจใคร่รู้
อีกทั้งยังสามารถช่วยให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้สิ่งใหม่ของเด็กวัยอนุบาล
แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะแขนงต่าง
ๆ
การจัดกิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กได้เข้าถึงสุนทรียะประสบการณ์ผ่านการลงมือปฏิบัติ
และหากผู้จัดกิจกรรมเข้าใจในแนวทางในการจัดกิจกรรม จะส่งผลให้ผู้จัดสามารถเลือก
ลักษณะ รูปแบบ และประเภทของกิจกรรม
ที่สอดคล้องและส่งเสริมพัฒนาการของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้เป็นอย่างดี
แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะแขนงต่าง ๆ มีดังนี้
Arce (2000) ได้กล่าวถึง แนวทางการจัดประสบการณ์ทางสุนทรียะที่สอดคล้องกับพัฒนาการด้านอารมณ์
สังคม และสุนทรียะของเด็กไว้ ดังนี้
1) พัฒนาการด้านอารมณ์ พื้นฐานที่ดีของพัฒนาการทางอารมณ์และบุคลิกภาพ
เริ่มตั้งแต่วัยแรกเกิดด้วยสำนึกรับรู้ถึงความไว้วางใจ
พ่อแม่ทุกคนคาดหวังที่จะให้ลูกของตนมีความสุขเมื่อเติบโตขึ้น
ส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้พบกับความสุข คือ การเห็นคุณค่าในตนเอง
ช่วงปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับเด็กที่จะเข้าใจตนเองและชื่นชมกับสิ่งรอบตัว
สุนทรียประสบการณ์ช่วยให้เด็กปรับตัวจากการแยกจาก เพิ่มความมั่นใจในตนเอง
และเพิ่มขีดความสามารถ เมื่อครูให้เกียรติ และให้ความสำคัญกับเด็ก
เด็กจะเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง หากครูเปิดโอกาสให้เด็กเห็นทางเลือกในการแก้ปัญหาจะช่วยให้ความขัดแย้งในห้องลดลง
ครูสนับสนุนให้เกิดพัฒนาการทางอารมณ์ผ่านการอบรมเลี้ยงดู
ที่ให้ความสำคัญกับกิจวัตรประจำวัน ความเปลี่ยนแปลง ความไว ต่อการรับรู้
และประสบการณ์ การตอบสนองต่อเด็กดั่งคนในครอบครัว ทั้งรายบุคคลและกลุ่มใหญ่ ช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาการทักษะทางอารมณ์
2) พัฒนาการด้านสังคม
เด็กปฐมวัยเมื่อเริ่มเข้าสู่รั้วโรงเรียนจะเริ่มเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
เด็กเริ่มตระหนักถึงความคิดของผู้อื่น มุมมองที่แตกต่างจากเรื่องเดียวกัน
เกิดการแบ่งปันความคิดกับครูและเพื่อนร่วมชั้น
ขนาดและจำนวนของเด็กในการจัดกลุ่มขึ้นอยู่กับอายุ และประเภทกิจกรรม เด็กวัย 3 ปี
ขนาดกลุ่มที่เหมาะสมกับเด็ก คือ 1 - 4 คน เด็กวัย 4 ปี ขนาดกลุ่ม ที่เหมาะสม คือ 5
- 8 คน
จำนวนที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กมีโอกาสที่ดีในการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม
เป็นการเพิ่มทักษะทางสังคมแก่เด็กในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เด็กจำเป็นต้องรับฟัง
พิจารณา และตัดสินใจโดยมีครูเป็นผู้ดูแล
ทักษะทางสังคมของเด็กจะเพิ่มขึ้นตามวุฒิภาวะ
ส่งผลให้เด็กลดความคิดและความต้องการของตนเองลง
การเติบโตของเด็กเป็นสาเหตุของความสามารถที่จะเข้าใจมุมมองของผู้อื่น
ในการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นในบรรยากาศที่มีการจัดการอย่างเหมาะสมและมี
ผู้ให้คำแนะนำ ช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำงานร่วมกันและการสื่อสารด้วยพฤติกรรมอันดี
ทักษะทาง
สังคมที่ดีจึงเริ่มต้นจากโรงเรียนและเป็นทักษะติดตัวไปตลอดชีวิต
3)
พัฒนาการด้านสุนทรียะ การแสดงออกทางสุนทรียะเป็นเรื่องธรรมชาติ และเกิดขึ้นเอง
เด็กสร้างเสียง เคลื่อนไหวนิ้วผ่านผืนทราย และวาดรูปลงไอน้ำที่เกาะตัวบนกระจก
การจัดบริบทในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กจำเป็นต้องเอื้อต่อความเป็นธรรมชาติของเด็ก
ในการใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออก
ครูที่จัดบรรยากาศได้ดีช่วยให้เด็กสามารถเลือกวัสดุที่หลากหลายต่อการพัฒนาการรับรู้ในด้านต่าง
ๆ สุนทรียะเป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรและแผนการเรียนของเด็กปฐมวัย
ด้วยการพิจารณาแล้วว่าจะช่วยให้เด็กได้เข้าใจโลกผ่านการรับรู้ในด้านต่าง ๆ
ล้อมรอบด้วยโอกาสที่จะได้สำรวจโลกในมุมมองที่ตนเองชื่นชอบ
การชื่นชมความงามจากศิลปะและธรรมชาติเป็นผลส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กมีส่วนร่วม
ผลที่ได้รับ คือ อารมณ์ทางบวกดีขึ้น เกิดความเพลิดเพลิน มีทักษะทางการสังเกต
และสามารถคิดสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระ
ครูสามารถช่วยเสริมศักยภาพในการพัฒนาการตื่นรู้ทางสุนทรียะของเด็ก
ด้วยการช่วยให้เด็กได้สำรวจและตอบสนองต่อความงามของธรรมชาติและผลงานศิลปะ
Koster (2009) ได้ให้คำแนะนำในสิ่งที่ครูควรคำนึงถึงในการเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับพัฒนาการทางสุนทรียะของเด็กปฐมวัย
มีดังนี้
1) คาดหวังตามความเป็นจริง ความสามารถทางการแสดงออกของเด็กปฐมวัย
ขึ้นอยู่พัฒนาการทางร่างกาย ในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
การสร้างสรรค์ผลงานของเด็กจะมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม
ประสบการณ์ทางสังคม และความคุ้นเคย
เป็นเรื่องปรกติที่จะเห็นความแตกต่างอย่างมากทางผลงานของเด็กในช่วงวัยเดียวกัน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยอมรับและให้ความสำคัญกับผลงานของเด็กทุกคน
ยิ่งผู้ใหญ่จดจำภาพวาด บทเพลง เรื่องราว และเลือกกิจกรรมปลายเปิดมากเท่าไหร่
ยิ่งเป็นการสนับสนุนในผู้เข้าร่วมกิจกรรมประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
2) ให้คุณค่ากับกระบวนการทำงานมากกว่าผลงาน ครูต้องหาวิธีในการบันทึกและนำเสนอขั้นตอนการทำงานทั้งหมด
ไม่ใช่เพียงตัวผลงาน ใครที่เคยทำงานกับเด็กจะทราบดีว่า
บางครั้งผลงานก็อาจทำให้ผิดหวังได้ เด็กอาจเขินอายที่จะโผไปรอบ ๆ ห้อง
หรืออาจร้องเพลงเสียงหลง กิจกรรมศิลปะควรบันทึกเสียงของเด็กขณะทำงาน เพื่อดูขั้นทางพัฒนาการที่เด็กกำลังก้าวข้าม
งานดังกล่าวเป็นงานเสี่ยงต่อความวุ่นวาย ภาระงานที่เพิ่มขึ้น
แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
3) เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความคิดของเด็ก ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางร่างกาย
สังคม วัฒนธรรม และอารมณ์ ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจเด็กได้ดียิ่งขึ้น
รวมถึงการยอมรับลักษณะนิสัยและผลงาน เช่น เด็กเคาะและทิ่มสีเทียนลงบนโต๊ะ
อาจไม่ได้หมายความว่า เด็กชอบความรุนแรง แต่หมายถึงเด็กกำลังทดลองความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นกับสีเทียน
เราสามารถดูได้ว่าเด็กรู้อะไรบ้างผ่านขั้นตอนในการทำงาน
การที่เด็กออกเสียงนับนิ้วที่วาดเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าเด็กเข้าใจความสัมพันธ์เชิงตัวเลข
4) เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก ในทุกกลุ่มจะมีเด็กที่มีทักษะแตกต่างกัน
กิจกรรมที่เลือกควรเป็นกิจกรรมปลายเปิด
และเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมนั้นได้
ควรจัดพื้นที่ให้เด็กได้ทดลอง พร้อม ๆ กับฝึกฝน และโต้ตอบผลงาน
แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
กระทรวงศึกษาธิการ (2561)
ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ไว้ว่า
เป็นกิจกรรมที่ช่วยเด็กให้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยใช้เทคนิคศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น
การฉีก-ปะ การตัด-ปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การ ประดิษฐ์
หรือวิธีการอื่นที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์และเหมาะกับพัฒนาการ
การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ควรจัดให้เด็กได้ทำทุกวัน โดยอาจจัดวันละ 3 – 5
กิจกรรมให้เด็กเลือกทำอย่างน้อย 1 - 2 กิจกรรม ตามความสนใจ
1) ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ มีดังนี้
1.1) การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์
ควรพยายามหาวัสดุท้องถิ่นมาใช้ก่อน เป็นอันดับแรก
1.2) ก่อนให้เด็กทำกิจกรรม
ต้องอธิบายวิธีการใช้วัสดุที่ถูกต้องให้เด็กทราบพร้อมทั้งสาธิตให้ดูจนเข้าใจ เช่น
การใช้พู่กันหรือกาว จะต้องปาดพู่กันหรือกาวนั้นกับขอบ ภาชนะที่ใส่
เพื่อไม่ให้กาวหรือสีไหลเลอะเทอะ
1.3) ให้เด็กทำกิจกรรมสร้างสรรค์ประเภทใดประเภทหนึ่งร่วมกันในกลุ่มย่อย
เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักการวางแผน และการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น
1.4) แสดงความสนใจในงานของเด็กทุกคน
ไม่ควรมองผลงานเด็กด้วยความขบขัน
และควรนำผลงานของเด็กทุกคนหมุนเวียนจัดแสดงที่ป้ายนิเทศ
1.5) หากพบว่าเด็กคนใดสนใจทำกิจกรรมอย่างเดียวตลอดเวลา
ควรกระตุ้นเร้า และจูงใจให้เด็กเปลี่ยนทำกิจกรรมอื่นบ้าง
เพราะกิจกรรมสร้างสรรค์แต่ละประเภทพัฒนาเด็กแต่ละด้านแตกต่างกัน
และเมื่อเด็กทำตามที่แนะนำได้ ควรให้แรงเสริม (ที่เหมาะสม)
ทุกครั้ง
1.6) เก็บผลงานชิ้นที่แสดงความก้าวหน้าของเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อเป็นข้อมูลสังเกตพัฒนาการของเด็ก
Eckhoff (2017) ได้กล่าวถึงวิธีการในการเข้าถึงประสบการณ์ทางทัศนศิลป์สำหรับเด็กไว้
ดังนี้
1) การซึมซับ
การที่เด็กได้สังเกตและพุดคุยเกี่ยวกับศิลปะที่มีคุณภาพจากทั่วโลก
ประสบการณ์นี้จะช่วยให้เด็กเริ่มที่จะตีความหมาย แลกเปลี่ยน
และสร้างความหมายจากภาพ การสังเกตจะช่วยให้เด็กเกิดความคิดใหม่ ๆ
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานของตน และยังเชื่อมโยงเข้าสู่ศาสตร์การเรียนรู้อื่น ๆ
เช่น วิทยาศาสตร์ และความสัมพันธ์กับเพื่อน ที่ล้วนต้องใช้ทักษะในการสังเกต
โดยครูอนุบาลสนับสนุนพัฒนาการในการสังเกตได้โดยพูดคุยเกี่ยวกับสีของผลงานศิลปะ
เส้น พื้นผิว และรูปร่าง
2) การลงมือปฏิบัติ
ห้องเรียนส่วนใหญ่จะถูกประดับตกแต่งไปด้วยงานผลงานประดิษฐ์ของเด็กที่ผ่านการกำกับของครู
หาใช่ผลงานศิลปะของเด็กที่มีความหมาย และประสบการณ์ ศิลปะที่มีความหมายมาจากฐานความเชื่อในศิลปะ ดังนี้
2.1) ศิลปะช่วยสนับสนุนความรู้และการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติในธรรมชาติของเด็กแต่ละคน
2.2) ศิลปะมีพลังที่ช่วยให้เด็กกล้าสื่อสาร อธิบาย
และแสดงออกทางความคิด ความรู้สึก และมุมมองที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ
2.3) ศิลปะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์
จินตนาการ และความคิดยืดหยุ่น
2.4) ศิลปะช่วยให้เด็กเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลาย
และเป็นโอกาสให้เด็กทุกคนได้แสดงออกถึงวัฒนธรรมของตน
3) การชื่นชมศิลปะ
จากการมีประสบการณ์ทางสุนทรียะที่หลากหลายและเปิดกว้าง จากการสำรวจ ทดลอง และค้นพบ
โดยการลงมือปฏิบัติ
สรุปได้ว่า
การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการผ่านกิจกรรมศิลปะที่หลากหลาย
ทั้งการรับเข้าเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ
และการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของเด็ก ผลจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องการจัดสุนทรียประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับ
เด็ก พบว่า ครูวางแผนการสอนเป็นรายสัปดาห์ โดยจัดกิจกรรมที่คำนึงถึงความเหมาะสม
และคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กมากที่สุด สร้างแรงบันดาลใจก่อนเริ่มกิจกรรม
โดยการทำให้ดูเป็นแบบอย่าง เสริมแรงบวกแก่เด็กด้วยการชื่นชมผลงาน
นอกจากนี้ยังพบว่า
ครูจัดประสบการณ์ศิลปะที่ไม่ตอบสนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก กล่าวคือ
ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมประมาณ 15 – 20 นาที และจัดกิจกรรมซ้ำ ๆ ขาดความหลากหลาย
จากการหมุนเวียนกิจกรรมเดิมต่อเนื่อง เป็นเวลานาน เช่น การวาดภาพระบายสีด้วยสีไม้
กิจกรรมศิลปะบางประเภทขาดหายไป โดยเฉพาะในการกิจกรรมการระบายสีภาพด้วยพู่กัน
หรือการปั้นดิน ที่ต้องการการดูแลอย่างชิดจากครู
เนื่องจากครูไม่มีเวลาหรืออาจมาจากทัศนคติของครู
และเด็กยังขาดโอกาสในการเลือกทำกิจกรรม ตามความสนใจของตนเอง อีกทั้งครูยังเน้นการประเมินผลงานมากกว่ากระบวนการ
(ลูกแก้ว มุกดา และ ศศิลักษณ์ ขยันกิจ, 2555; Samuelsson, Sheridan, & Hansen,
2013)
แนวทางในการจัดกิจกรรมดนตรีและเคลื่อนไหว
กระทรวงศึกษาธิการ (2561)
ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ
โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง ซึ่งจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ เสียงตบมือ
เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เคาะเหล็ก รำมะนา กลอง ฯลฯ มาประกอบการเคลื่อนไหว
เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์
เด็กวัยนี้ร่างกายกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาการ การใช้ส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายยังไม่ผสมผสานหรือประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์
ครูควรคำนึงถึงองค์ประกอบในการเคลื่อนไหวใน ลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1) การเคลื่อนไหวของเด็กมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ช้า ได้แก่
การคืบคลาน เร็ว ได้แก่ การวิ่ง นุ่มนวล ได้แก่ การไหว้ การบิน ขึงขัง ได้แก่
การกระทืบเท่าดัง ๆ ตีกลองดัง ๆ ร่าเริงมี ความสุข ได้แก่ การตบมือ หัวเราะ
และเศร้าโศกเสียใจ ได้แก่ สีหน้า ท่าทาง
2) ทิศทางการเคลื่อนไหว ได้แก่ เคลื่อนไหวไปข้างหน้าและข้างหลัง
เคลื่อนไหวไปข้างซ้ายและข้างขวา เคลื่อนตัวขึ้นและลง และเคลื่อนไหวรอบทิศ
3) รูปแบบการเคลื่อนไหว
3.1) การเคลื่อนไหวพื้นฐาน ได้แก่
การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของเด็ก มี 2 ประเภท
คือ
การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ เช่น ตบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเข้า
และเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ เช่น คลาน คืบ เดิน วิ่ง กระโดด ควบม้า
3.2) การเลียนแบบ 4 ประเภท ได้แก่
เลียนแบบท่าทางสัตว์ เลียนแบบ ท่าทางคน เลียนแบบ
เครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น
และเลียนแบบปรากฏการธรรมชาติ
3.3) การเคลื่อนไหวตามบทเพลง ได้แก่
การเคลื่อนไหวหรือท่าทาง ประกอบเพลง เช่น
เพลงไก่
เพลงข้ามถนน
3.4) การทำท่าทางกายบริหารประกอบเพลง
ได้แก่ การทำท่าทางกาย บริหารตามจังหวะ
และทำนองเพลง
หรือคำคล้องจอง
3.5) การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์
ได้แก่ การเคลื่อนไหวที่เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทางขึ้นเอง
อาจชี้นำด้วยการป้อนคำถามเคลื่อนไหวโดยใช้อุปกรณ์ประกอบ
เช่น ห่วงหวาย แถบผ้า ริบบิ้น ถุงทราย ฯลฯ
3.6) การเล่นหรือแสดงท่าทางตามคำบรรยาย
เรื่องราว ได้แก่
การเคลื่อนไหวหรือแสดงท่าทางตามจินตนาการจากเรื่องราวหรือคำบรรยายที่ผู้สอนเล่า
3.7) การปฏิบัติตามคำสั่งและข้อตกลง
ได้แก่ การเคลื่อนไหวหรือทำท่าทางตามสัญญา
หรือคำสั่งตามที่ได้ตกลงไว้ก่อนเริ่มกิจกรรม
3.8) การฝึกทำท่าทางเป็นผู้นำ ผู้ตาม
ได้แก่ การเคลื่อนไหวหรือทำท่าทางจากความคิด
สร้างสรรค์ของเด็กเอง
แล้วให้เพื่อนปฏิบัติตามกิจกรรม
ในการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ มีข้อเสนอแนะแก่ครู ดังนี้
1) ควรเริ่มกิจกรรมจากการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ
และมีวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก มากนัก เช่น
ให้เด็กได้กระจายอยู่ภายในห้องหรือบริเวณที่ฝึก และให้เคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติของ
เด็ก
2) ควรให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างอิสระและเป็นไปตามความนึกคิดของเด็กเอง
ผู้สอนไม่ควรชี้แนะ
3) ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิดหาวิธีเคลื่อนไหวทั้งที่ต้องเคลื่อนที่และไม่ต้องเคลื่อนที่เป็นรายบุคคล
เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ตามลำดับและกลุ่มไม่ควรเกิน 5 – 6 คน
4) ควรใช้สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก เศษวัสดุต่าง ๆ เช่น
กระดาษหนังสือพิมพ์ เศษผ้า ท่อนไม้ เข้ามาช่วยในการเคลื่อนไหวและให้จังหวะ
5) ควรกำหนดจังหวะสัญญาณนัดหมายในการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น
การเปลี่ยนท่าทาง หรือหยุดให้เด็กทราบเมื่อทำกิจกรรมทุกครั้ง
6) ควรสร้างบรรยากาศอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่น
เพลิดเพลิน และ รู้สึกสบาย สนุกสนาน
7) ควรจัดให้มีเกมการละเล่นบ้าง
เพื่อช่วยให้เด็กสนใจมากขึ้น
8) กรณีเด็กไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ผู้สอนไม่ควรใช้วิธีบังคับ
ควรให้เวลาและ โน้มน้าว ให้เด็กสนใจเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ
9) หลังจากเด็กได้ออกกำลังเคลื่อนไหวร่างกายแล้วต้องให้เด็กได้พักผ่อน
โดยอาจให้นอนเล่นบนพื้นห้อง นั่งพัก หรือเล่นสมมติเป็นตุ๊กตา อาจเปิดเพลงช้า ๆ เบา
ๆ ที่สร้างความรู้สึกให้เด็กอยากพักผ่อน
บุบผา เรืองรอง (2556) ได้กล่าวถึง
สิ่งที่ครูควรพิจารณาในการจัดกิจกรรม การเคลื่อนไหวและจังหวะไว้ดังนี้
1) จัดกิจกรรมท่ามกลางบรรยากาศความสุขและสนุกสนาน
ชวนเด็กร่วมกิจกรรมดีกว่าการบังคับ
2) เด็กควรได้รู้จักชื่อท่าการเคลื่อนไหวเบื้องต้นเพื่อการเรียนรู้ภาษาไปด้วย
3) ส่งเสริมให้เด็กเคลื่อนไหวและจังหวะเป็นไปตามธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
และตอบสนองความต้องการของเด็กให้เพียงพอ
4) เน้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กมากกว่าการทำท่าทางตามครูบอกหรือการสาธิต
5) ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้กล้ามเนื้อใหญ่ก่อน
ได้แก่ การใช้ กล้ามเนื้อล าตัว แขน ขา
6) สร้างทัศนคติที่ดีต่อตนเองให้แก่เด็กว่า
ตนความสามารถที่จะเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
เป็นการพัฒนาการรับรู้เกี่ยวกับตนเองและพัฒนาจิตใจ
สร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่เด็ก
สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหว
เป็นการจัดกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายอย่างอิสระสอดคล้องไปกับเสียงเพลงหรือจังหวะ
เพื่อให้ร่างกายเกิดการประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ ท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสนาน
สอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรี สวนแก้ว (2551) ที่ได้กล่าวถึง
ความสำคัญของสุนทรียศาสตร์กับเด็กปฐมวัยในด้านบทบาทของดนตรีต่อการศึกษาปฐมวัยของ
ไว้ว่า ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อการจัดกิจกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย ประกอบไปด้วย
สภาวะทางอารมณ์ก่อนการเข้าเรียน ลักษณะของบทเพลงที่ใช้ในการสอน ความต้องการอยากแสดงออกจากจินตนาการภายใน
สภาพครูผู้สอนหรือนักเรียนในห้อง และรูปแบบวิธีการของครูผู้สอน
แนวทางในการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์
การจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์สำหรับเด็กในวัยอนุบาลคือการเปิดโอกาสให้เด็ก
ให้ทดลองสวมบทบาทอื่น เช่น บุคคลในครอบครัว บุคคลในอาชีพต่าง ๆ
หรือตัวละครจากนิทาน ผ่านการเล่นอย่างมีอิสระ
หรือการแสดงที่มีการวางโครงเรื่องและตัวละครไว้แล้ว โดยมีข้อแนะนำในการจัดกิจกรรม
ดังนี้
กระทรวงศึกษาธิการ (2561) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมกิจกรรมเสรี
อันเป็นกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมละครสร้างสรรค์ไว้ว่า
เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระ ตามมุมเล่น หรือ
มุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียน ที่จัดไว้ในห้องเรียน เช่น มุมบล็อก มุมหนังสือ
มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา มุมบ้าน มุมร้านค้า เป็นต้น มุมต่าง ๆ
เหล่านี้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก
ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม อนึ่ง กิจกรรมเสรีนอกจากให้เด็กเล่นตามมุมแล้ว
อาจให้เด็กเลือกทำกิจกรรมที่ผู้สอนจัดเสริมขึ้น เช่น เกมการศึกษา
เครื่องเล่นสัมผัส กิจกรรมสร้างสรรค์ประเภทต่าง ๆ โดยการจัดกิจกรรมเสรี /
เล่นตามมุม อาจจัดได้หลายลักษณะ ดังนี้
1) เปิดโอกาสให้เด็กเลือกทำกิจกรรมสร้างสรรค์
และเล่นตามมุมเล่นในช่วงเวลาเดียวกันอย่างอิสระ
2) เน้นให้เด็กเลือกทำกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างน้อย 1 – 2 อย่าง
หรือตามข้อตกลงในแต่ละวัน
3) จัดมุมศิลปะหรือศูนย์ศิลปะให้เป็นส่วนหนึ่งของมุมเล่นหรือศูนย์การเรียน
ฯลฯ
การจัดกิจกรรมเสรี/เล่นตามมุม
มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
1) ขณะเด็กเล่น ครูต้องคอยสังเกตความสนใจในการเล่นของเด็ก
หากพบว่า มุมใด เด็กส่วนใหญ่ไม่สนใจเล่นแล้ว ควรสับเปลี่ยนจัดสื่อมุมเล่นใหม่ เช่น
มุมบ้านอาจดัดแปลง เพิ่มเติม หรือเปลี่ยนเป็นมุมร้านค้า มุมเสริมสวย มุมหมอ ฯลฯ
2) หากมุมใดมีจำนวนเด็กในมุมมากเกินไป
ครูควรให้เด็กมีโอกาสคิดแก้ปัญหา
หรือผู้สอนชักชวนให้แก้ปัญหาในการเลือกเล่นมุมใหม่
3) การเลือกเล่นมุม การเล่นมุมเดียวเป็นระยะเวลานาน
อาจทำให้เด็กขาดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านอื่น ครูควรชักชวนให้เด็กเลือกมุมอื่น ๆ
ด้วย
4) สื่อ เครื่องเล่นในแต่ละมุม
ควรมีการสับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย เช่น
เก็บหนังสือนิทานบางเล่มที่เด็กหมดความสนใจ และน าหนังสือ นิทานเล่มใหม่มาวางแทน
ฯลฯ
Rajan
(2017) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการนำละครเพลงมาผสมผสานเข้าสู่ห้องเรียนไว้ ดังนี้
ขั้นที่ 1 เลือกการแสดง ครูควรเลือกจากวรรณกรรมสำหรับเด็ก
บางสำนักพิมพ์ในต่างประเทศ จะมีดนตรีประกอบให้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบการแสดงได้
ขั้นที่ 2 เลือกตัวแสดง
ครูควรเลือกจากความสนใจของเด็ก บุคลิกภาพ หรือ ความสามารถทางศิลปะที่โดดเด่น
และหลีกเลี่ยงการประกวดหรือเลือกตัวละครที่สร้างความกดดันให้แก่เด็ก
ขั้นที่ 3 การฝึกซ้อม
ในการฝึกซ้อมครูจำเป็นต้องเชื่อมโยงเนื้อหาทางวิชาการเข้าสู่ขั้นตอนนี้ด้วย
ในการฝึกซ้อมจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อครั้งหรือประมาณ 2 ชม.ต่อสัปดาห์
ในทุกการฝึกซ้อมจะเริ่มจากการฟังและร้องเพลงประกอบการแสดง
โดยในระหว่างการฝึกซ้อมเด็กจะต้องออกแบบชุด ท่าทาง ฉาก
และแนวทางในการกำกับเนื้อเรื่อง
ขั้นที่ 4 การแสดง
ก่อนการแสดงต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบว่ามีการแสดง ชื่อการแสดง
และบทบาทที่เด็กแต่ละคนได้รับในการแสดง บริเวณที่ใช้ในการจัดการแสดงควรเป็น
บริเวณที่เด็กรู้สึกคุ้นเคย
ขั้นที่ 5 การสะท้อนความรู้สึกหลังการแสดง
ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงของตนที่เพิ่งจบลงไป
เด็กหลายคนสะท้อนความคิดว่า ได้พัฒนาทักษะ และความสามารถทางการแสดงออกของตนเอง
สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์
เป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็ก ได้ทดลองสวมบทบาทอื่นที่ได้เด็กได้รับรู้มา
ไม่ว่าจากเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการเรียน จากสังคมรอบข้าง หรือจากเรื่องเล่า
การที่เด็กได้ลองสวมบทบาทเป็นผู้อื่น ช่วยให้เด็กได้เห็นถึงมุมมองที่ต่างไปจนเกิดการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
อันเป็นพื้นฐานที่ดีของพัฒนาการทางสังคม
แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะแขนงต่าง ๆ มีเป้าหมาย คือ การจัดเตรียมกิจกรรมให้ เด็กได้สัมผัสประสบการณ์การรับรู้ความงามที่หลากหลายจากทั้งธรรมชาติและศิลปะแขนงต่าง ๆ เพื่อให้เด็กรับรู้ สำรวจ และคิดอย่างสร้างสรรค์ จนเกิดเป็นการตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ที่หลอมรวม ความคิด สมาธิ และความมุ่งมั่นเข้าด้วยกัน ผ่านการแสดงออกทางศิลปะ โดยการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้งดงาม จัดหาสื่อที่มีคุณภาพ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก
ที่มา:
เอมสินธุ รามสูต. (2560). บทบาทครูในการจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น