หน้าเว็บ

พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยผ่านกิจกรรมศิลปะ

พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยผ่านกิจกรรมศิลปะ

 

 สารบัญ                      

       - พัฒนาการด้านศิลปะการขีดเขียนวัยเด็กตอนต้น

       บทบาทผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

            > ลักษณะของกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

       - ศิลปะกับการพัฒนาความคิดสรางสรรค์ของเด็กปฐมวัย 

            > พฤติกรรมความสนใจในศิลปะของผู้เรียน 



พัฒนาการด้านศิลปะการขีดเขียนวัยเด็กตอนต้น

-พัฒนาการขีดเขียนที่เป็นสากล
          มีความเชื่อกันว่า พัฒนาการขีดเขียนของเด็กทั่วโลกมี 5 ขั้นตอน ซึ่งเด็กๆ ทุกคนที่มีโอกาสได้พัฒนาศิลปะขีดเขียน จะพัฒนาไปตามขั้นตอนนี้ทั้งสิ้น ยกเว้นแต่ว่ามีสิ่งแวดล้อมภายนอกมาทำให้พัฒนาการต้องชะงักงัน เด็กจะผ่านขั้นตอนไปตามลำดับขั้น แต่ความเร็วช้า(อายุที่ต้องพัฒนา) มีความแตกต่างไปในรายบุคคล และขอให้ถือเสมอว่าการแบ่งขั้นตอนที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ใช่การแบ่งอย่างเฉียบขาด พัฒนาการเชิงศิลป์มีความเหลื่อมลํ้าในการแบ่งระยะขั้นตอนของพัฒนาการ อนึ่ง สำหรับภาพวาดเขียนของเด็กในช่วงวัยเด็กตอนต้นนี้ น่าประหลาดที่มีความเหมือนๆ กันในเด็กทั่วโลก ในด้านเส้นขีดเขียน การวางตำแหน่งภาพ การให้รายละเอียดในภาพ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่ผู้ใหญ่เรียนรู้ เมื่อผ่านพ้นวัยเด็กไปแล้ว ทำให้ผลงานทางศิลปะของผู้ใหญ่แต่ละท้องถิ่นต่างกัน

          ไม่ว่าเด็กจะวาดรูปเป็นรูปทรงที่ผู้ใหญ่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตามที เด็กๆ จะตั้งใจขีดเขียนด้วยความตั้งใจ พอใจ และภูมิใจในผลงานของตนอย่างมาก ภาพทุกๆ รูปทรง เป็นการแสดงออกถึงความคิด จินตนาการ และอารมณ์ของเด็ก อย่างที่ผู้ใหญ่ควรให้ความสนใจและสนับสนุน เพราะจากการวาดเหล่านี้ เด็กจะพัฒนาความรักในศิลปะแบบนี้สืบไป การวาดเขียนของเด็กเป็นการเล่นสนุกปนเรียนชนิดหนึ่ง และเป็นการให้โอกาสเด็กสร้างจินตนาการ ถ่ายทอดจินตนาการ ทั้งยังเป็นพัฒนาการทางความคิด และอารมณ์อย่างหนึ่ง

การขีดเขียนทั้ง 5 ขั้นตอน คือ :
1. ขั้นขีดเขี่ย (The scribbling stage) อายุประมาณ 2-4 ปี
2.
ขั้นก่อนแบบแผน (The preschematic stage) อายุประมาณ 4-7 ปี
3.
ขั้นแบบแผน (The schematic stage) อายุประมาณ 7-9 ปี
4.
ขั้นเริ่มเหมือนจริง (The dawning realism) อายุประมาณ 9-11 ปี
5.
ขั้นมีเหตุผล (The stage of reasoning) อายุประมาณ 11-13 ปี


ขั้นขีดเขี่ย
          ผู้ที่มีความรู้เชิงศิลป์ยังอธิบายว่า การขีดเขี่ยของเด็กเป็นพื้นฐานความรู้และความเข้าใจในแบบของศิลปะลายเส้น (Graphic art) ภาพวาดลายเส้นของเด็กทุกเส้นเป็นศิลปะทั้งสิ้น (ประภัสร นิยมธรรม, 2522)      ขั้นขีดเขี่ยเริ่มต้นแล้วตั้งแต่วัยทารก(ดังได้อภิปรายมาบ้างแล้ว) การขีดเขี่ยเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ เด็กทุกๆ คนชอบขีดเขี่ย การขีดเขี่ยดูเหมือนว่าเป็นการเล่นสนุกๆ ไม่มีความหมาย สำหรับผู้ใหญ่ แต่ที่จริงแล้วมีความหมายมากสำหรับเด็ก การขีดเขี่ยเป็นบทเรียนที่ทำให้เด็กได้รู้จักเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ของภาพและพื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ ลองผิดลองถูก เด็กเรียนรู้จักการวางตำแหน่งของภาพ รู้จักวางทิศทางของภาพ ฯลฯ ระยะแรกสุด การขีดเขี่ยของเด็กไม่มีระเบียบอะไรเลย ต่อมาเด็กจะเริ่มพัฒนาความสามารถในการขีดเขี่ยเพิ่มพูนขึ้น ตามประสบการณ์และตามทักษ ความสามารถในการใช้มือ แขน ตา การรับรู้ ความเข้าใจ ได้อย่าง ประสานสัมพันธ์กัน เด็ก 2-3 ขวบ จะสามารถลากเส้นยาวๆ ได้ ทำรูปวงกลมหรือรูปทรงอย่างอื่นได้ เมื่อเขาสามารถบังคับมือให้ทำรูปทรงได้แล้ว ต่อมาก็จะพัฒนาความสามารถไปอีกระดับหนึ่ง คือรู้จักใช้ภาษาดังชื่อ สิ่งที่เขาวาด (Symbolization) ซึ่งยังไม่ตรงกับความเป็นจริง ขั้นขีดเขี่ยมีพัฒนาการ 4 ลำดับขั้น คือ


(1) ขั้นขีดเขี่ยที่ไม่เป็นระเบียบ

(2) ขั้นขีดเขี่ยเป็นเส้นยาว                

(3) ขั้นขีดเขี่ยเป็นวงกลม

(4) ขั้นตั้งชื่อการขีดเขี่ย

 

 

ผู้วาดภาพ ด.ญ.ณิชารีย์  พัดทอง อายุ 2 ½ ปี

 

1.               ขั้นขีดเขี่ยไม่เป็นระเบียบ


ผู้วาดภาพ ด.ญ.ณิชารีย์  พัดทอง อายุ 2 ½ ปี

 

2.               ขั้นขีดเขี่ยเป็นเส้นยาว


ผู้วาดภาพ ด.ญ.ณิชารีย์  พัดทอง อายุ 2 ½ ปี



3.               ขั้นขีดเขี่ยเป็นวงกลม

 

ภาพที่ 1 “พ่อ

วาดโดย: เด็กหญิงประภาพัชร  พันธุมะผล อายุ 4 ปี 3 เดือน เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2530 ขนาด 27 ½ x 21 ซม.



 

ภาพที่ 2 “ตัวเอง

วาดโดย : เด็กหญิงประภาพัชร  พันธุมะผล อายุ 4 ปี 3 เดือน เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2530

 ขนาด 27 ½ x 21 ซม.

ภาพจาก รักลูก” , 9 ธันวาคม, 2530

  

4.                ขั้นตั้งชื่อการขีดเขี่ย

           1.ลักษณะการขีดเขี่ยขั้นพื้นฐาน

มีอยู่ 20 ลักษณะ ประกอบด้วยเส้นแนวนอน แนวตั้ง เส้นโค้ง ทแยงมุม วงกลม เส้นคลื่นและจุด ดังแสดงด้วยภาพข้างล่างนี้ 

(ประภัสร นิยมธรรม, 2522, หน้า 6)

          2.การกำหนดรูปทรงในขั้นขีดเขี่ย (2-4 ขวบ) เด็กในขั้นขีดเขี่ยจะกำหนดรูปทรงได้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ต่อมาจะดูเป็นรูปทรงยิ่งขึ้นๆ ใกล้ความจริงไปทุกที เริ่มจากมองไม่เห็นเป็นรูปทรงอะไรๆ เลย แล้วพัฒนาเป็นรูปวงกลม วงสี่เหลี่ยม วงรี สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ทะแยงมุม ฯลฯ บางทีเมื่อเด็กเขียนพอมองเห็นเป็นรูปทรงแล้ว เด็กอาจจะหยุดไว้และอาจต่อเติมเส้นใหม่ๆ ลงไปอีกในเวลาอื่น การจัดวางรูปทรงแบบต่างๆ เริ่มมองเห็นได้เมื่อเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ

(ประภัสร นิยมธรรม, 2522, หน้า 22)

 

ขั้นก่อนแบบแผน (4-7 ขวบ)

     ขั้นตอนนี้เหลื่อมลํ้ากับขั้นตอนที่ 1 อยู่มาก มีพัฒนาการด้านการขีดเขียน ดังต่อไปนี้

                  1 . รู้จักออกแบบ (ประมาณ 3-4-5 ขวบ)

เริ่มรู้จักออกแบบโครงร่างอย่างง่ายๆ เช่น เขียนรูปวงกลมใส่ในรูปสี่เหลี่ยม เอารูป 2 แบบมารวมด้วยกันได้ การเขียนเส้นตามแนวนอนมีความตรงขึ้น บางทีก็เอารูปต่างๆ หลายๆ รูปมารวมกัน การออกแบบของเด็กเกิดจากทั้งจินตนาการและผนวกกับสิ่งที่เด็กได้พบเห็นรอบๆ ตัว และจะเพิ่มรายละเอียดในรูปยิ่งกว่าระยะแรกๆ

     เด็กที่สามารถวาดภาพวงกลมได้แล้ว จะพัฒนาแบบของวงกลมออกไปเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น ดวงอาทิตย์ มีรัศมี กากบาทในวงกลม ล้อรถ หน้าคน ดอกไม้ ฯลฯ


(ประภัสร นิยมธรรม, 2522, หน้า 28)

              

 

               2. เริ่มเขียนคน (4-5 ขวบ)

     เด็กเริ่มเขียนภาพคน หลังจากที่เขาสามารถเขียนรูปวงกลมมีรัศมีซึ่งหมายถึงแสงอาทิตย์ได้ โดยเขียนหน้าคนก่อน และมีแขนขาประกอบเล็กน้อย รูปคนที่วาดก่อนอายุ 6 ขวบ จะไม่ถูกสัดส่วนทางกายวิภาค สำหรับเด็กรูปนั้นคือรูปคนที่เขาพออกพอใจ

 

นักรบเจ้าจักรวาลฮีแมน โดยเด็กชายภู  ผุสดี อายุ 4 ขวบ 11 เดือน เขียนด้วยดินสอดำบนกระดาษปอนด์ขนาด 19 ½ x13 ซม. เมื่อ 24 ธ.ค.30

 

 

               3. เริ่มเขียนเป็นรูปร่างและเรื่องราว (4 – 6 ขวบ)

    เด็กระยะนี้เริ่มเขียนภาพที่ดูแล้วเห็นเป็นเรื่องเป็นราวได้ เช่น สัตว์ยืนทื่อๆ ด้วยขา 2 ขา มีใบหูอยู่บนหัว บ้านก็เป็นรูปผสมของสี่เหลี่ยมจตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า ดอกไม้เป็นรูปวงกลม บนเส้นตรง เครื่องบินเป็นเส้นเฉียงตัดกัน รถยนต์คือบ้านที่มีล้อ บ้านก็ดูมีชีวิตจิตใจเหมือนคน คือบางบ้านเศร้า บางบ้านรื่นเริง ภาพสัตว์ปนกับภาพคน หรือสัตว์บางตัวมีหลายขา สัตว์ก็อาจเป็นคนได้ด้วยเพราะใบหน้าเป็นใบหน้าคน มีผม รวมทั้งมีเท้าและมีขาสองข้าง หรืออาจมีขาตั้งโหล ภาพสัตว์กับคนจึงดูผสมกัน (ประภัสร นิยมธรรม, 2522)




 ภาพวาดของเด็กอายุ 4 ขวบที่มีความคล้ายคลึงกันในเด็กแทบทั่วโลก

(หมายเหตุ:Kellog เป็นนักจิตวิทยาผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องการวาดเขียนของเด็กที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ได้คงความเดิมที่อธิบายลักษณะภาพของเด็ก 4 ขวบ ไว้ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

 

 (อ้างจาก Scan- et al., 1986, หน้า 238)

“It’s a Person!” At about age 4, children everywhere begin to draw tadpole figures that they label “Mommy,” “a person, or me.” The child’s first tadpole may be a happy accident—a circle with some protruding lines that is sufficiently humanoid to merit a human label. When the young artist discovers that he can regularly achieve this effect, he has entered the representation stage. The drawing stands for someone. Typically, youngsters draw tadpole after tadpole, delighted with their newfound ability.

(Kellogg. 1969)

 

               4. เขียนเป็นรูปร่างและเรื่องราว (5-7 ขวบ)

ถึงตอนนี้เด็กจะวาดภาพเป็นรูปร่างและเป็นเรื่องราวมากกว่าตอนที่ผ่านมา มีความสมดุลของภาพ เด็กรู้จักใช้วัสดุหลายชนิด อวัยวะนิ้วมือ และการรับรู้ทำงานประสานกันเป็นอย่างดี (ประภัสร นิยมธรรม, 2522)

 

วาดโดย : เด็กหญิงนิราวรรณ อายุ 5 ปี 11 เดือน

ชื่อภาพ : รถแล่นบนทางด่วน ผ่านตึกใบหยกและเซ็นทรัล

(จาก รักลูก” , 6, 6 กรกฎาคม, 2531)

  

ขั้นแบบแผน (7-9 ปี)

     ขั้นแบบแผนเป็นขั้นตอนที่ปรากฏในวัยเด็กตอนปลาย แต่ก็อาจเหลื่อมล้ำกับพัฒนาการการขีดเขียนของเด็กวัยเด็กตอนต้นในเด็กบางคน จึงขอนำเสนอลักษณะพัฒนาการของการวาดเขียนขั้นแบบแผนในที่นี้ เพื่อให้เห็นความต่อเนื่อง

     ลักษณะพัฒนาการที่จะกล่าวได้ว่าเด็กได้พัฒนาการขีดเขียนเข้าสู่ขั้นแบบแผน คือความสามารถในการเขียนที่เด็กรู้จักใช้เส้นฐาน รู้จักวาดภาพพับกลาง และวาดภาพโปร่งใส

     1. การใช้เส้นฐาน

เส้นฐานคือ เส้นที่ใช้สำหรับรองรับรูปต่างๆ ที่ปรากฏบนภาพ เช่น เส้นนอน เส้นโค้ง เส้นขอบกระดาษ รูปต่างๆ ที่ปรากฏบนเส้นฐานต้องตั้งฉากกับเส้นฐาน (มักไม่ตั้งฉากจริงๆ จังๆ) บางครั้งบนเส้นฐานหนึ่งก็แสดงเหตุการณ์อย่างหนึ่ง การที่เด็กรู้จักใช้เส้นฐานเป็นสิ่งแสดงความเจริญเติบโต ทางความคิดว่า เด็กเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของตนกับสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น

     2. ภาพพับกลาง

เป็นลักษณะการขีดเขียนที่คล้ายของจริง โดยเด็กจะรู้จักใช้เส้นขนานกัน รูปต่างๆ จะอยู่บนเส้นฐานของแต่ละด้าน ซึ่งคล้ายๆ กับตั้งอยู่คนละฝั่งคลองหรือแม่น้ำ ตัวอย่างภาพพับกลาง เช่น ถนนหนทางที่มีบ้านเรือนสองฟากทาง ภาพลำคลองยาว ซึ่งมีต้นไม้อยู่สองฟากฝั่ง

     บางครั้งภาพพับกลางไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นฐานที่ขนานกันก็ได้ แต่อาจโค้งไปมาจรดกันเป็นรูปวงกลม แล้วถือเอารูปวงกลมเป็นเส้นฐานเขียนรูปต่างๆ ทางด้านนอก ให้ตั้งฉากกับเส้นฐานนี้ รูปต่างๆ ปรากฏบนเส้นวงกลม เช่น ดอกไม้ ดวงอาทิตย์ สระน้ำ ซึ่งนับเป็นการวาดแบบพับกลางเช่นกัน

 


ภาพพับกลาง

(ไม่ทราบชื่อผู้วาด : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2529, หน้า 91)

 

 

     3. ภาพโปร่งใส

     คือภาพที่แสดงรายละเอียดต่างๆ ให้ปรากฏอย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนั้นเลย เช่น ภาพบ้านที่แสดงให้เห็นสิ่งของเครื่องใช้ทุกชิ้นในบ้าน คนในบ้าน ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง ทั้งนี้เด็กมิได้คิดถึงความเป็นจริง แต่ใช้จินตนาการของตน



ลักษณะของภาพในขั้นตอนนี้บางประการ:

1. เส้นไม่ขาดหาย ไม่ขยุกขยิก เด็กบางคนสามารถแสดงภาพที่เห็นการเคลื่อนไหวได้แล้ว

2. ส่วนที่ตนเห็นว่าไม่สำคัญจะตัดทิ้งไป เลือกเขียนเฉพาะส่วนที่ตนเห็นว่าสำคัญ

3. สามารถแบ่งแยกเรื่องราว เหตุการณ์ในรูปได้

4. ภาพไม่สมจริงเสมอไป เช่น แขน ขา ยาว ผิดปกติ ทั้งนี้เป็นไปตามเจตนาที่เด็กต้องการเน้น

5. แสดงรายละเอียดในภาพได้มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญของสมรรถภาพในการรับรู้

6. ใช้สีได้ตรงตามความเป็นจริง เช่น ต้นไม้สีเขียว, ทะเลสีฟ้า

7. รู้จักวางภาพอย่างมี Figure and ground

8. แสดงออกซึ่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์จำเพาะตนได้



(ไม่ปรากฏชื่อผู้วาด : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2529, หน้า 74)

ภาพเขียนของเด็ก : ความคิดของเด็กที่เรามองเห็นได้

Schell & Hall (1979, หน้า 232) ได้เสนอผลการวิจัยซึ่งสรุปได้ว่า ภาพวาดเขียนของเด็ก วัยเด็กตอนต้น    ได้แสดงให้เห็นถึงสมรรถภาพในการคิดนึกด้วยสัญลักษณ์ของเด็กอันอัศจรรย์ยิ่ง ลายเส้นและภาพที่เด็กแสดงออกมานั้น ดูยุ่งเหยิงไร้ระเบียบอันเกิดจากความด้อยสมรรถภาพในการใช้มือ การเริ่มฝึกหัดใช้เครื่องมือในการขีดเขียน (เช่น ดินสอ ดินสอเทียน ไม้บรรทัด ฯลฯ) และความไม่เข้าใจสิ่งแวดด้อม สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ พัฒนาให้ดูดียิ่งขึ้นๆ เมื่อเด็กเจริญวัย ภาพวาดเขียนของเด็กยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงลำดับขั้นของพัฒนาการทางความคิด วิธีการแก้ปัญหา ลักษณะอารมณ์ และนิสัยใจคอของเด็ก จนอาจกล่าวได้ว่า ภาพเขียนของเด็กคือ ความคิดของเด็กที่เรามองเห็นได้ (Visible thinking)”

     มีความเชื่อกันว่า แรงจูงใจในการสร้างสรรค์งานศิลป์ด้วยการขีดเขียนนั้น เด็กทุกๆ คนมีพรสวรรค์แห่งความสามารถนี้ในตัว ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเกิดอยู่ ณ สถานที่ใด มีภูมิปัญญาระดับใด เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะชื่นชมงานศิลป์หรือไม่ แรงจูงใจในการสร้างสรรค์งานศิลป์เชิงขีดเขียน ซึ่งติดตัวมาตามธรรมชาติของเด็ก จะเริ่มค่อยๆ เลือนไป ถ้าหากไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากผู้ใหญ่ สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย การสอนศิลป์ผิดๆ แก่เด็ก (Scarr et al., 1986)

ที่มา:ศรีเรือน  แก้วกังวาน

 


บทบาทผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

ในทำนองเดียวกันการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผู้เรียนไม่ได้เป็นผู้นั่งฟังผู้สอนบรรยาย อย่างเดียว แต่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ดังที่ นนทลี พรธาดาวิทย์ (2559: 28) กล่าวไว้ ดังนี้

1. มีความรับผิดชอบ เตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อมที่จะเรียนรู้ ศึกษา และปฏิบัติงานในสิ่งที่ผู้สอน มอบหมายให้ศึกษาล่วงหน้า

2. ให้ความร่วมมือกับผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ เริ่มจากการวางแผนการจัดการเรียนรู้ การดำเนิน กิจกรรม และการประเมินผล

3. มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระตือรือรั้น

4. มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ การทำงานเป็นทีม และการยอมรับ ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

5. มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ได้ลงมือปฏิบัติ ในสถานการณ์จริงด้วยตนเองเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเอง

6. มีการใช้ความคิดเชิงระบบ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงเหตุผล การคิดอย่างมีวิจารณญาน การคิดเชื่อมโยง และการคิดอย่างสร้างสรรค์

7. มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องที่นเบื่อ แต่การเรียนแบบสนุกสนาน มี ชีวิตชีวา


ลักษณะของกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

  1. Active Learning เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำหรือปฏิบัติด้วยตนเองด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทำโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทำหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คำปรึกษาและสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน
  2. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสำคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน รวมทั้งทำให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนำไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์
  3. Resource เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานการณ์)”
  4. Thinking เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
  5. Happiness เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจาก 1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนชอบหรือสนใจ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ 2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน
  6. Participation เป็นกิจกรรมที่เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผนกำหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมีโอกาสเลือกทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทำให้ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง
  7. Individualization เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับในความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
  8. Good Habit เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้ำใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทำงานอย่างเป็นกระบวนการการทำงานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
  9. Self Evaluation เป็นกิจกรรมที่เน้นการประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รุ้จุดเด่นจุดด้อยและพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพจริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย


 

 

 

ศิลปะกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย


      นักจิตวิทยาทางการศึกษาทั่วโลกเชื่อกันว่าเด็กทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถพัฒนาให้เจริญงอกงามได้ตามระดับความสามารถของแต่ละบุคคล ถ้าหากเด็กได้รับการเสริมและสนับสนุน

ให้มีการแสดงออกภายใต้บรรยากาศที่มีเสรีภาพ สำหรับเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ในตัว สามารถพิจารณาจากพฤติกรรมได้หลายด้านดังนี้

        1.การเป็นผู้กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา

        2.การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยความคิดของตนเอง

        3.การเป็นผู้ชอบสำรวจตรวจสอบความคิดใหม่ๆ

        4.การเป็นผู้เชื่อมั่นในความคิดของตังเอง

        5.การเป็นผู้สอบสวนสิ่งต่างๆ

        6.การเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันดีต่อความงาม

    

     จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือ การเจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และพฤติกรรมและศิลปะคือ เครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะกระบวนการทางศิลปะไม่มีขอบเขตแห่งการสิ้นสุด สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กเกิดความคิดที่ต่อเนื่องอย่างไม่จบสิ้น และก้าวไปยังโลกแห่งจินตนาการอย่างไม่มีขอบเขต 

    การวาดรูป (drawing) และการระบายสี (Painting) เป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งช่วยในการทำงานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา 

การวาดภาพเป็นกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งช่วยในการทำงานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับสี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา ควรเริ่มจากการสอนให้เด็กๆ วาดรูปได้ โดยเริ่มจากเส้นก่อน จากนั้นหัดวาด สิ่งต่างๆรอบตัว เด็กๆ จะได้รู้จักกับรูปร่าง Shape และ รูปทรง Form ต่างๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการวาดในขั้นสูงต่อๆไป ส่วนการระบายสีภาพนั้นเด็กๆ จะได้ฝึกใช้สีหลายๆชนิด ได้แก่ สีไม้ สีชอล์ค สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีเมจิก สีเทียน สีอะครีลิค สีผสมอาหาร พร้อมทั้งรู้วิธีการระบายสีให้เกิดความสวยงาม 

    การปั้นหรือที่เรียกว่างานประติมากรรม (Sculpture) เด็กๆจะได้เรียนรู้การปั้นแบบจำลอง (modelling) แบบง่ายๆ โดยใช้ดินน้ำมันที่มีสีสันต่างๆ และดินชนิดต่างๆอย่างหลากหลาย เช่น ดินเหนียว ดินญี่ปุน  เด็กจะได้เรียนรู้เทคนิคการปั้นแบบนูนต่ำ แบบนูนสูงและลอยตัว เพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือ  นอกจากนี้เด็กยังได้ทำงานประติมากรรมแขวนหรือโมบายล์ (mobile) ใช้ดินน้ำมัน ดินเหนียว แป้งโด ฯลฯ มาปั้นเป็นรูปต่างๆ ตามจินตนาการของเด็กแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันไป เป็นการฝึกสมาธิ และพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของเด็ก เด็กจะได้เรียนรู้รูปร่างต่างๆ  

    กิจกรรมกระดาษ (Papers) เด็กๆ จะได้ฉีก ตัด ปะ ม้วน พับขยำกระดาษต่างๆ เช่น กระดาษสี กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษทิชชู่ หนังสือแมกกาซีนต่างๆ ที่เป็นกระดาษอาบมัน กระดาษกล่อง ฯลฯ และนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดงานศิลปะ 

    การพิมพ์ภาพ (paint Making) เป็นการสร้างภาพหรือลวดลายที่เกิดจากการนำวัสดุหลายๆประเภท เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ ก้านกล้วย หรืออวัยวะของร่างกาย เช่น มือ เท้า มาใช้เป็นแม่พิมพ์กดทับลงบนสีแล้วนำไปพิมพ์บนกกระดาษหรือผ้าก็ได้ และเด็กๆจะได้พิมพ์ภาพจากวัสดุต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ ก้านกล้วย มันเทศ ฯลฯ มาทำให้เกิดเป็นภาพต่างๆ เป็นการเรียนรู้ วิธีการ และเทคนิคใหม่ๆ ในการทำงานอีกด้วย 

    การประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Creative Crafts) เด็กๆจะได้ทำงานประดิษฐ์ ที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น กล่อง กระป๋องนม ลูกปัด หลอด ไม้ไอติม เศษผ้า ริบบิ้น ฯลฯ ทำให้เกิดประสบการณ์ทางด้านความคิด สร้างสรรค์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้


การเรียนศิลปะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร 

        กิจกรรมศิลปะทำให้เด็กได้ฝึกการใช้จินตนาการอย่างอิสระ ซึ่งจะมีผลให้เด็กเป็นคนกล้าคิด กล้าริเริ่มสิ่งใหม่ๆทำให้เด็กได้แสดงออกถึงสิ่งที่ตนคิดและรู้สึกโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารทางตัวอักษรได้ดีทำให้เด็กรักการทำงานและมีความภาคภูมิใจในตนเอง เมื่อการสร้างสรรค์งานศิลปะของเด็กแต่ละชิ้นเสร็จสิ้นลง เด็กจะรู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานของเขามาก ทำให้กระตือรือร้นที่จะสร้างผลงานชิ้นใหม่ต่อไปช่วยฝึกความประณีตและสมาธิเพราะในขณะที่เด็กพยายามควบคุมมือให้สามารถวาด ระบายสีหรือประดิษฐ์สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จนั้นต้องใช้ความตั้งใจ ความพยายามและใช้สมาธิที่แน่วแน่มั่นคงตามวุฒิภาวะของเด็กแต่ละวัย ทำให้เด็กเป็นคนมีสุนทรียภาพ มีความละเอียดอ่อนในจิตใจ ทำให้รู้คุณค่าในธรรมชาติ ศิลปะ วัตถุ หรือรูปแบบความคิดต่างๆ ทำให้มีชีวิตและจิตใจที่งดงาม ฝึกให้เด็กรู้จักการทำงานร่วมกัน รู้จักปรับตัวและปรับความคิดให้สอดคล้อง ยอมรับซึ่งกันและกัน อันเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีและเป็นประชาธิปไตยในสังคม ประโยชน์ของการส่งเสริมเด็กทางด้านศิลปะ เป็นการฝึกทักษะทางด้านศิลปะให้ดีขึ้น ให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออกอย่างอิสระ รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้มีสมาธิในการเรียนที่ดีขึ้น และยังมีผลถึงพัฒนาการด้านอื่นๆทั้งหมด การที่เด็กได้ทำมาก ฝึกฝนมากจะยิ่งช่วยให้เด็กเกิดความชำนาญมากขึ้นอีกด้วย ถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์อันมีค่ายิ่งของเด็ก หากเด็กได้รับการสนับสนุนให้สร้างสรรค์ศิลปะ อย่างต่อเนื่องก็เท่ากับว่าเป็นทางหนึ่งซึ่งสั่งสมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกับเด็ก อย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะศิลปะมีกระบวนการ และธรรมชาติที่เอื้อแก่การพัฒนาทางสมอง เพื่อเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดยิ่งเด็กมากเท่าไร สติปัญญาของเด็กก็จะเติบโตมากเท่านั้น และหากการได้คิดมากๆ คือการทำให้สมองแหลมคม การที่เด็กได้ขีดเส้นลงไปแต่ละเส้น หรือระบายสีก็ล้วนมีผลทำให้สมองได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยแบ่งเป็นประเภทกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดังนี้

 

 

 ภาพที่ 1 การปั้น

ที่มา https://www.youngciety.com/article/journal/arts-for-kids.html

    การปั้น คือกิจกรรมที่ใช้วัตถุที่เป็นดินน้ำมัน แป้งโด ดินเหนียว โดยคลึงให้เป็นเส้น ปั้นเป็นแผ่น ปั้นเป็นก้อนกลมหรือสี่เหลี่ยม ปั้นตามเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นสัตว์ สิ่งของ ตามเรื่องเล่าจากนิทานปั้นตามจินตนาการ

กิจกรรมศิลปะการปั้นดินญี่ปุ่น สำหรับเด็กปฐมวัย
สวนสัตว์แป้งโด

 


ภาพที่ 2 การฉีก ตัด ปะ กระดาษ

ที่มา https://www.youngciety.com/article/journal/arts-for-kids.html

     

   เป็นกิจกรรมที่นำกระดาษต่าง ๆ มาฉีก ตัดและ ปะติดลงบนกระดาษให้เกิดเป็นภาพต่าง ๆ ตามจินตนาการ กระดาษที่ใช้สำหรับฉีกไม่ควรแข็งหรือเหนียวเกินไป เช่น กระดาษสีมัน กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษนิตยสาร เป็นต้น การฉีก ตัด ปะกระดาษทำได้หลายวิธี ได้แก่ ฉีกกระดาษเป็นชิ้นติดซ้อนเรียงกัน หรือฉีกกระดาษเป็นชิ้นติดลงบนภาพที่กำหนดให้ ฉีกกระดาษตามรูปที่วาดไว้ให้แล้วให้เด็กฉีกกระดาษที่เป็นส่วนเกินออก ฉีกกระดาษเป็นรูปทรงเรขาคณิต เช่น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม ฉีกหรือตัดกระดาษอิสระเป็นรูปตามจินตนาการ

การฉีก ตัด ปะ กิจกรรมศิลปะที่ส่งเสริมพัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์

ฉีก ตัด ปะ กิจกรรมฝึกกล้ามเนื้อมือ สำหรับเด็กปฐมวัย

 

 

ภาพที่ 3 งานพับกระดาษ

ที่มา : https://www.youngciety.com/article/journal/arts-for-kids.html

         เป็นการประดิษฐ์กระดาษให้มีลักษณะเป็นภาพ มิติ ซึ่งกิจกรรมนี้จะมีความยากขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ ต้องอาศัยการทำงานประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือ ตาและนิ้วมือ พับกระดาษให้เป็นภาพ ตามขั้นตอนซึ่งลำดับขั้นตอนนั้นไม่ควรยากเกินความสามารถของเด็ก

พื้นฐานงานพับกระดาษ เสริมทักษะการประสานสัมพันธ์มือและตา
กิจกรรม งานพับกระดาษ หุ่นนิ้วมือรูปสัตว์
กิจกรรมงานพับกระดาษ ต้อนรับเทศกาลวันคริสต์มาส ศิลปะสร้างสรรค์ปฐมวัย



ภาพที่ 4 กิจกรรมการพิมพ์ภาพ

         การพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วมือ ฝ่ามือ แขน ข้อศอก ฯลฯ การพิมพ์ภาพจากวัสดุธรรมชาติต่าง ๆ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ฯลฯ การพิมพ์ภาพจากวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ เช่น หลอด ฝาน้ำอัดลม ขวดน้ำ ฯลฯ รวมถึงการพิมพ์ภาพด้วยการขยำกระดาษ การขูดสี เช่น ให้เด็กวางกระดาษบนใบไม้หรือเหรียญ แล้วใช้สีขูดลอกลายออกมาเป็นภาพตามวัสดุนั้น ๆ ค่ะ

สร้างภาพพิมพ์จากลายนิ้วมือ



ภาพที่ งานประดิษฐ์เศษวัสดุ

         เป็นการรวบรวมเศษวัสดุเหลือใช้ เช่น กล่องนม เศษกระดาษ กระดาษห่อของขวัญ แกนกระดาษทิชชู่ ฯลฯ มาประดิษฐ์เป็นสิ่งต่าง ๆ ตามแบบอย่างหรือตามจินตนาการได้อย่างอิสระ

กิจกรรมฝึกสมาธิสำหรับเด็กปฐมวัย เกมตกสัตว์ จากแก้วกระดาษ


 

 

 

 

ที่มา :ศรีเรือน  แก้วกังวาน "พัฒนาการด้านศิลปะการขีดเขียนวัยเด็กตอนต้น

" [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก

  https://www.healthcarethai.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0/  สืบค้นเมื่อ   7 สิงหาคม 2564.



ที่มา dawatkok Penprakhon "ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย" [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก

https://www.gotoknow.org/posts/475621?fbclid=IwAR1oEzZptLHQCS5014ta9REjGywf0iZHmEDnBlnLrXT9LKw3N0MwAm7Gtts

สืบค้นเมื่อ   7 สิงหาคม 2564.


ที่มา "กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย" [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก

https://www.youngciety.com/article/journal/arts-for-kids.html

 สืบค้นเมื่อ   7 สิงหาคม 2564.


ที่มา : ไม่ปรากฏชื่อ "บทบาทผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning" [ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/602149?

สืบค้นเมื่อ   14  สิงหาคม 2564.



ที่มา : สุภาวดี พึ่งฉิ่ง " การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ  SSAPA"

[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก

http://202.44.135.157/dspace/bitstream/123456789/2713/1/58263313.pdf?

สืบค้นเมื่อ   14 สิงหาคม 2564.


ที่มา :kanjana ninnun "จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ"[ออนไลน์].

เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/602149?

สืบค้นเมื่อ   14 สิงหาคม 2564.


4 ความคิดเห็น:

  1. แต่ละกลุ่มครูได้ให้คำแนะนำไปแล้ว ซึ่งหมายความว่า นศ.ควรส่งงานมาครั้งที่ 2 แล้ว
    เพื่อให้ครูตรวจดูหัวข้อ/Link เอกสาร แล้วครูจะได้ให้คำแนะนำตอบกลับเป็น feedback ทางอีเมล์ค่ะ [ตอนนี้ไม่ต้องส่งมาทาง mail แล้วค่ะ ให้นำขึ้นบล็อกนี้เลย ]
    >> ดังนั้นขอให้คำแนะนำโดยรวมๆ แล้วกันนะคะ ว่าทุกกลุ่มสืบค้นเอกสารเพิ่มเติมโดยใช้เอกสารประเภท หนังสือ ตำรา งานวิจัยซึ่งข้อมูลที่มีการเรียบเรียงและนำมาใช้รายงานได้นั้น จะมีอยู่ในงานวิจัย (วิทยานิพนธ์) ที่ครูให้นักศึกษาสืบค้นเพิ่มเข้ามานั่นเองค่ะ

    ตอบลบ
  2. เพิ่มตัวอย่างจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหารจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
    ในหัวข้อ "บทบาทของผู้เรียน"
    ตัวอย่างเช่น งานวิจัย http://202.44.135.157/dspace/bitstream/123456789/2713/1/58263313.pdf
    บทที่ 2 หัวข้อ 2.4.2
    และ ควรนำเสนอตัวอย่างจากงานวิจัยหลายๆ เรื่อง

    ตอบลบ