หน้าเว็บ

การจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

 

การจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

  

ความสำคัญของการจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

            โลเวนเฟลด์ (Lowenfeld, 1957) กล่าวถึงคุณค่าของศิลปะว่า ช่วยในการพัฒนาเด็กทั้งในด้านอารมณ์ สติปัญญา ร่างกาย การรับรู้ สังคม สุนทรียภาพและ การสร้างสรรค์

            ไทเลอร์ (Tyler, 1971) กล่าวว่า วิชา ศิลปศึกษา มีความสำคัญ 5 ประการ คือ

            1. ช่วยขยายขอบเขตการรับรู้ของผู้เรียนทางด้านการใช้ประสาทสัมผัสทางตา ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเป็นการมองด้วยการสังเกต เก็บรายละเอียดจากสิ่งที่เห็นมาถ่ายทอดด้วยงานศิลปะ

            2. สามารถทำให้ความคิดและความรู้สึกกระจ่างชัดออกมา โดยอาศัยสื่อนอกเหนือจากคำพูด

            3. ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย สนุกสนานเพลิดเพลิน โดยการแสดงออกด้วยกิจกรรมศิลปะ ช่วยทำให้คนมีความเป็นคนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

            4. ช่วยพัฒนาความสนใจและค่านิยมต่างๆ การแสดงออกทางศิลปะในรูปแบบต่างๆ เป็นพื้นฐานเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและช่วยพัฒนาความเข้าใจในศิลปะ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            5. เป็นวิชาที่ช่วยพัฒนาความสามารถทางเทคนิคได้ เช่น กระบวนการที่จะทำให้เกิดทักษะในการระบายสี การวาดภาพคน การเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เป็นต้น  

            ลินเดอร์แมน (Linderman, 1977) กล่าวถึงผลดีในการสร้างสรรค์ศิลปะของเด็ก ไว้ดังนี้

            1. การสร้างสรรค์ศิลปะเป็นการช่วยพัฒนาทักษะ โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ทางศิลปะผ่านการทดลองค้นคว้า การยักย้ายถ่ายเท และการปฏิบัติงาน

            2. การสร้างสรรค์ศิลปะของเด็กช่วยให้เกิดความซาบซึ้งต่อการทำงาน เกิดผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการที่เป็นอิสระ

            3. การสร้างสรรค์ศิลปะอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการที่เป็นอิสระตามความต้องการของตน ย่อมส่งเสริมให้เด็กกลายเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยสร้างสรรค์

            4. การสร้างสรรค์ศิลปะจะนำมาซึ่งความคิดและการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นเหมาะสม และมีความเชื่อมั่นในการทำงาน

            5. การสร้างสรรค์ศิลปะของเด็ก จะกระตุ้นให้เด็กเป็นคนมีความคิดต่อสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน หรือเป็นรูปธรรม และมีจินตนาการที่ต่อเนื่อง

การจัดประสบการณ์ศิลปะนั้นมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเด็ก มีคุณค่าในการส่งเสริมพัฒนาการโดยรวมทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา การรับรู้ สุนทรียภาพและ การสร้างสรรค์  ตลอดจนการสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดี โดยปลูกฝังให้เกิดบูรณาการอย่างสมดุลในตัวเด็ก ผ่านกระบวนการทำงานทางศิลปะ สร้างรากฐานที่ดีสำหรับเด็ก

 

จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์

กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์ การรับรู้เกี่ยวกับ ความงาม และส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ตามความรู้สึก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และจินตนาการ โดยใช้ศิลปะ เช่น การวาดภาพ ระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ ตัด ฉีก ปะ ฯลฯ

วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัยที่ระบุไว้ในคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กวัยนี้มีพัฒนาการครบทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ดังนี้

จุดประสงค์

1. เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมือและตาให้ประสานสัมพันธ์กัน

2. เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ชื่นชมในสิ่งที่สวยงาม

3. เพื่อส่งเสริมการปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

4. เพื่อส่งเสริมการแสดงออกและมีความมั่นใจในตนเอง

5. เพื่อส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคม

6. เพื่อส่งเสริมทักษะทางภาษา อธิบายผลงานของตนได้

7. เพื่อฝึกทักษะการสังเกต การคิดและการแก้ปัญหา

8. เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ

          การพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมศิลปะ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม  ผู้จัดจะต้องตระหนักถึงพัฒนาการเด็ก  หลักการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมในแต่ละระดับ   เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม   สอดรับกับการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ให้พัฒนาไปได้ตามศักยภาพและเกิดผลดีต่อการพัฒนาเด็กอย่างสูงสุด

 

หลักและวิธีการจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

การจัดประสบการณ์ศิลปะให้กับเด็ก ต้องคำนึงถึงตัวเด็กเป็นสำคัญ ด้วยเหตุที่เด็กทุกคนมีขีดขั้นความสามารถทางความคิดสร้างสรรค์ในด้านศิลปะแตกต่างกัน เด็กแต่ละคนสามารถที่จะพัฒนาได้ภายในขอบเขตของความสามารถของตน  แม้ว่าจะมีขีดความสามารถของการสร้างสรรค์ในด้านศิลปะแตกต่างกัน การพัฒนาการสร้างสรรค์ของเด็กจะเป็นไปได้ถึงขีดสูงสุดนั้นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์อื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ วิธีการสอนของครู ซึ่งเป็นวิธีที่กระตุ้นและยั่วยุให้เด็กได้แสดงความคิดอย่างอิสระ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของสภาพร่างกายและทางจิตวิทยาของเด็กด้วย (Lowenfeld and Brittain, 1982)

            การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็นวิธีจัดประสบการณ์ศิลปะวิธีหนึ่งซึ่งมีคุณค่าแก่เด็ก ดังนี้

1.เปิดโอกาสให้เด็กเลือกแนวความคิด หรือเนื้อเรื่องของตนเอง ในการแสดงออก

2.เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระตามวิธีการของตนเอง

3.ให้สิทธิในการสร้างงานด้วยตนเอง

ข้อเสนอแนะในการจัดประสบการณ์ด้านศิลปะ (Hilderbrand, 1975)

1.ให้ความสำคัญในกระบวนการทำงานของเด็กมากกว่าคำนึงถึงผลงานของเด็ก

2.ให้ความสนับสนุนการแสดงออกทางด้านการสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการให้เด็กวาดลอกเลียนแบบ หรือวาดภาพระบายสีจากสมุดภาพ ทำให้เด็กไม่ได้ใช้ความคิดอิสระ ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์

3.แสดงความชื่นชมต่อผลงานความก้าวหน้าของเด็ก

4.วางแผนและเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับเด็กให้พร้อม

5.ควรจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เด็กสามารถหยิบได้ง่ายและสะดวกในการใช้

6.ควรหลีกเลี่ยงคำถามที่ว่า กำลังทำอะไรอยู่หรือ เดาว่าสิ่งที่เด็กทำคืออะไร

7.ฝึกฝนและแนะนำให้เด็กได้ลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง รู้สึกการแสดงออกและมีทัศนคติที่ดีต่องานศิลปะ โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมตามวุฒิภาวะของเด็กด้วย

8.ให้คิดว่ากิจกรรมทางด้านศิลปะมีความสำคัญเหมือนกับการจัดประสบการณ์ในการเขียนและการอ่าน

9.ให้ความรู้ในด้านศิลปะ เช่น เรื่องสี ขนาด และรูปร่าง เป็นต้น แก่เด็ก

10.อธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและแนวทางในการส่งเสริมการสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะแก่เด็ก

            พีระพงษ์ กุลพิศาล (2531) เสนอแนะวิธีการจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้

1.จัดกิจกรรมที่สนุกสนาน และสอดแทรกความรู้ทางศิลปะบ้างเล็กน้อย

2.กระตุ้นให้แสดงออกโดยใช้เรื่องราวจากประสบการณ์ของเด็กเอง มีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ

3.ขณะที่ทำงาน ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เคลื่อนไหวได้เต็มที่

4.ให้ทำงานเป็นกลุ่มบ้าง เพื่อฝึกให้มีพัฒนาการทางสังคม แต่ครูต้องคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

5.ครูต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกมากที่สุด ผลงานจะเป็นเช่นไรไม่สำคัญ บางครั้งรูปจะดูเหมือนกับมีสีเลอะเทอะ เส้นลายไม่แน่นอน นั่นคือสิ่งที่เด็กภาคภูมิใจ

6.อย่าสอนวิธีการเขียนภาพเป็นขั้นตอน หรือเขียนให้ดูแล้วให้เด็กทำตาม หน้าที่ของครูคือกระตุ้นด้วยคำพูด แล้วให้เด็กทำเองทั้งนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง

          ในการจัดประสบการณ์ศิลปศึกษาให้ได้ผลนั้นต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้  (ชวลิต ดาบแก้ว และ สุดาวดี  เหมทานนท์, 2535)

1.พัฒนาการของเด็ก (development)

2.ความต้องการและความสนใจ (need  and  interest)

3.ความแตกต่างของเด็กเป็นรายบุคคล (individual difference)

4.การจัดโปรแกรมของงานศิลปะ (art program) ควรให้เด็กร่วมกันวางแผน แก้ปัญหางานต่างๆ

5.ควรมีวัสดุหลาย ๆ อย่าง (material) ใหม่ หาได้ง่ายในท้องถิ่น กระตุ้นให้แสดงออก

6.การประเมินผล (evaluation) เด็กต้องการคำชมเชย คำสนับสนุนของครู

7.ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งเสริมให้มีเสรีภาพในการแสดงออกตามความสนใจ ความถนัด เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมให้เด็กแสดงออกในวิถีทางที่สังคมยอมรับ


ขอบข่าย/เนื้อหา/กิจกรรม

๑. การวาดภาพและระบายสี เช่น การวาดภาพด้วยสีเทียน สีไม้ สีนํ้า

๒. การเล่นกับสีนํ้า เช่น การเป่าสี การหยดสี การพับสี การเทสี การละเลงสีด้วยนิ้วมือ

๓. การพิมพ์ภาพ เช่น การพิมพ์ภาพด้วยพืช การพิมพ์ภาพด้วยวัสดุต่างๆ

๔. การปั้น เช่น การปั้นดินเหนียว การปั้นแป้งปั้น การปั้นดินนํ้ามัน การปั้นแป้งขนมปัง

๕. การพับ ฉีก ตัด ปะ เช่น การพับใบตอง การฉีกกระดาษเส้น การตัดภาพต่างๆ การปะติดวัสดุ

๖. การประดิษฐ์ เช่น ประดิษฐ์เศษวัสดุ     

๗. การร้อย เช่น การร้อยลูกปัด การร้อยหลอดกาแฟ การร้อยหลอดด้าย

๘. การสาน เช่น การสานกระดาษ การสานใบตอง การสานใบมะพร้าว

 

แนวการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์

๑. เตรียมจัดโต๊ะและอุปกรณ์ให้พร้อมและเพียงพอก่อนทำกิจกรรม อย่างน้อย ๒ กิจกรรมโดยจัดไว้หลายๆ กิจกรรม และอย่างน้อย ๓ - ๕ กิจกรรม เพื่อให้เด็กมีอิสระในการเลือกทำกิจกรรมที่สนใจ

๒. ควรสร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรม เพื่อฝึกให้เด็กมีวินัยในการอยู่ร่วมกัน

๓. การเปลี่ยนและหมุนเวียนทำกิจกรรม ต้องสร้างข้อตกลงกับเด็กให้ชัดเจน เช่น หากกิจกรรมใดมีเพื่อนครบจำนวนที่กำหนดแล้ว ให้คอยจนกว่าจะมีที่ว่าง หรือให้ทำกิจกรรรมอื่นก่อน

๔. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่ หรือการใช้วัสดุอุปกรณ์ใหม่ ครูจะต้องอธิบายวิธีการทำ วิธีการใช้ วิธีการทำความสะอาด และการเก็บของเข้าที่

๕. เมื่อทำงานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให้เด็กเก็บวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้เข้าที่และช่วยกันดูแลห้องให้สะอาด

 

สื่อกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์

๑. การวาดภาพและระบายสี

๑.๑ สีเทียนแท่งใหญ่ สีไม้ สีชอล์ก สีนํ้า

๑.๒ พู่กันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒)

๑.๓ กระดาษ

๑.๔ เสื้อคลุม หรือผ้ากันเปื้อน

๒. การเล่นกับสีนํ้า

๒.๑ การเป่าสี มีกระดาษ หลอดกาแฟ สีนํ้า

๒.๒ การหยดสี มีกระดาษ หลอดกาแฟ สีนํ้า พู่กัน

๒.๓ การพับสี มีกระดาษ สีนํ้า พู่กัน

๒.๔ การเทสี มีกระดาษ สีนํ้า

๒.๕ การละเลงสีด้วยนิ้วมือ มีกระดาษ สีนํ้า แป้งเปียก

๓. การพิมพ์ภาพ

๓.๑ แม่พิมพ์ต่างๆ จากของจริง เช่น นิ้วมือ ใบไม้ ก้านกล้วย

๓.๒ แม่พิมพ์จากวัสดุอื่นๆ เช่น เชือก เส้นด้าย ตรายาง

๓.๓ กระดาษ ผ้าเช็ดมือ สีโปสเตอร์ หรือสีนํ้า หรือสีฝุ่น

๔. การปั้น เช่น ดินนํ้ามัน ดินเหนียว แป้งโดว์ แผ่นรองปั้น แม่พิมพ์รูปต่างๆ ไม้นวดแป้ง

๕. การพับ ฉีก ตัด ปะ เช่น กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเล็ก

ปลายมน กาวนํ้าหรือแป้งเปียก ผ้าเช็ดมือ

๖. การประดิษฐ์ เช่น เศษวัสดุต่างๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษไหม กาว กรรไกร

สี ผ้าเช็ดมือ

๗. การร้อย เช่น ลูกปัด หลอดกาแฟ หลอดด้าย

๘. การสาน เช่น กระดาษ ใบตอง ใบมะพร้าว

 

ข้อเสนอแนะ

๑. ควรสร้างบรรยากาศในการทำกิจกรรมให้มีความสดชื่น แจ่มใส แต่ควรมีระเบียบวินัย

๒. การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ควรพยายามหาวัสดุท้องถิ่นมาใช้ก่อนเป็นอันดับแรก

๓. ก่อนให้เด็กทำกิจกรรม ต้องอธิบายวิธีใช้วัสดุที่ถูกต้องให้เด็กทราบ พร้อมทั้งสาธิตให้ดูจนเข้าใจ เช่น การใช้พู่กันหรือกาว จะต้องปาดพู่กันหรือกาวนั้นกับขอบภาชนะที่ใส่ เพื่อไม่ให้กาวหรือสีไหลเลอะเทอะ

๔. ควรให้เด็กทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ประเภทใดประมาณหนึ่งร่วมกันในกลุ่มย่อย เพื่อฝึกการวางแผนและการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น

๕. ควรแสดงความสนใจและชื่นชมผลงานของเด็กทุกคน และนำผลงานของเด็กทุกคน หมุนเวียนจัดแสดงที่ป้ายนิเทศ

๖. หากพบว่าเด็กคนใดสนใจทำกิจกรรมเดียวทุกครั้ง ควรชักชวนให้เด็กเปลี่ยนทำกิจกรรมอื่นบ้าง เพราะกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แต่ละประเภทพัฒนาเด็กแต่ละด้านแตกต่างกัน และเมื่อเด็กทำตามที่แนะนำได้ ควรให้แรงเสริมทางบวกทุกครั้ง

๗. เมื่อเด็กทำงานเสร็จ ควรให้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ทำหรือภาพที่วาด โดยครูหรือผู้สอนบันทึกเรื่องราวที่เด็กเล่า และวันที่ที่ทำ เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าและระดับพัฒนาการของเด็ก โดยเขียนด้วยตัวบรรจง และให้เด็กเห็นลีลามือในการเขียนที่ถูกต้อง และมีโอกาสคุ้นเคยกับตัวหนังสือ

๘. เก็บผลงานชิ้นที่แสดงความก้าวหน้าของเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นข้อมูลสังเกตพัฒนาการของเด็ก และเมื่อถึงวันสุดสัปดาห์หรือสองสัปดาห์หรือสิ้นเดือน ผู้สอนควรฝากผลงานกระดาษไปให้พ่อแม่ผู้ปกครองดูบ้าง เพื่อทราบพัฒนาการของเด็ก


ที่มา: ทิพจุฑา  สุภิมารส. (2561). ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย. สุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น