หน้าเว็บ

ทฤษฎีพัฒนาการและการแสดงออกทางศิลปะของเด็ก

 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการและการแสดงออกทางศิลปะของเด็กปฐมวัย

 

1. ทฤษฎีการรู้คิดหรือทฤษฎีสติปัญญา : เด็กคิดอะไร  (cognitive theory)

                        ทฤษฎีนี้จะมีพื้นฐานความคิดว่า เด็กวาดจากสิ่งที่เขารู้ ไม่ใช่วาดจากสิ่งที่เขาเห็น ฟลอเรนซ์  กู้ดอินาฟ (Florence Goodenough) เป็นบุคคลสำคัญทางทฤษฎีศิลปะที่เชื่อว่างานศิลปะของเด็กเป็นงานที่มากยิ่งไปกว่าการจินตนาการทางสายตา และกิจกรรมตากับมือสัมพันธ์กัน

                        ทฤษฎีนี้เชื่อว่า การมองเห็นของเด็กนั้น ไม่ต่างไปจากผู้ใหญ่ แต่การเขียนภาพหรือการนำเสนอจะเกิดจากสิ่งที่เด็กรู้มากกว่าสิ่งที่เด็กเห็น    เด็กจะตอบสนองด้วยความเข้าใจในเชิงสติปัญญาหรือมโนทัศน์ต่อวัตถุเป็นสำคัญ เมื่อเด็กเรียนรู้และผ่านวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง เด็กจะสร้างมโนทัศน์ที่เด่นชัดขึ้นจากประสบการณ์ การแสดงออกของเด็กจะมีรายละเอียดที่มากขึ้นซับซ้อนขึ้น

                        โดยสรุป ทฤษฎีการรู้คิดหรือทฤษฎีสติปัญญานี้ อธิบายถึงสภาพรูปทรงง่ายๆ ในศิลปะเด็ก  จุดอ่อนตามการมองเห็นแบบผู้ใหญ่ และอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกทางความงามของเด็กที่มีความสัมพันธ์กับพัฒนาการรับรู้สิ่งแวดล้อม 

            2. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ : เด็กรู้สึกอย่างไร  (psychoanalytic theory)

                        พื้นฐานความคิดของทฤษฎีนี้คือ ผลงานศิลปะของเด็กสะท้อนให้เห็นอารมณ์ของเด็กมากกว่า ความรู้ สติปัญญา หรือพัฒนาการโดยทั่วไป ผู้มีอิทธิพลต่อแนวความคิดนี้ คือ ลอยด์ เมอร์ฟี (Lois Murphy) และแคทเธอรีน รีด (Katherine Read) ทั้งสองได้เขียนบทความและหนังสือเป็นจำนวนมาก กิจกรรมที่ได้รับการนิยมอย่างแพร่หลายก็คือ การใช้วัสดุประเภทการเคลื่อนไหว เช่น การระบายสีด้วยนิ้วมือ (fingerpaints) และการปั้นดินเหนียว (clay) สื่อทั้งสองชนิดจะช่วยให้เด็กระบายความรู้สึก และประสบการณ์ทางด้านอารมณ์หลายๆ อย่าง

                        ทฤษฎีจิตวิเคราะห์จะอธิบายงานศิลปะของเด็กโดยเน้นจิตใต้สำนึก เด็กวาดภาพสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับความรู้สึกและภาพจากความคิดภายในของเด็กมากกว่าความพยายามที่จะแสดงความเป็นจริงของสิ่งภายนอกตัว การทำงานศิลปะเป็นวิธีที่เด็กจะได้ระบายอารมณ์ ความกดดัน ความต้องการของจิตใต้สำนึก อย่างไรก็ตามนักวิจัยได้เตือนครูที่ใช้ผลงานของเด็กในการแปลผลพฤติกรรมว่า ประสบการณ์ทางศิลปะเป็นประสบการณ์ที่มีค่า การแปลผลงานของเด็กเพื่ออธิบายบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมทางสังคมนั้น ไม่ควรกระทำโดยผู้ไม่มีความรู้หรือมีความเชี่ยวชาญพิเศษจริง ๆ


            3. ทฤษฎีสติปัญญา-พัฒนาการ : เด็กคิดและเติบโตอย่างไร (cognitive development theory)

                        ผลงานทดลองของเพียเจต์ เกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก อธิบายได้ว่า ทำไมเด็กถึงวาด วาดอย่างไร และวาดอะไร  เพียเจต์เชื่อมโยงผลงานศิลปะของเด็กกับความสามารถในการเข้าใจถาวรวัตถุ เมื่อเด็กเข้าใจความคงที่ของวัตถุ เด็กจะมีจินตนาการในการระลึกอดีต หรือคาดการณ์อนาคตในเรื่องการหายไปของวัตถุจริง  การแสดงออกของเด็กเป็นวิธีที่เด็กรวบรวมประสบการณ์ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งแวดล้อม  เด็กต้องการประสบการณ์รูปธรรมหรือสัญลักษณ์ทางภาษาพูด จินตนาการจะสร้างสัญลักษณ์รูปธรรมและภาษาจะสร้างสัญลักษณ์ทางวาจา

                    เพียเจต์ได้กำหนดขั้นตอน 3 ขั้น ในการที่เด็กจะเข้าใจมิติของรูปภาพ คือ  1) ขาดความสามารถในการสังเคราะห์ (synthetic incapicity)  จินตนาการของเด็กจะยังไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงส่วนย่อยหรือเป็นการตัดต่อ 2ความจริงทางด้านสติปัญญา (intellectual realism)  เด็กวาดจากสิ่งที่เขารู้ ไม่ใช่วาดจากสิ่งที่เขาเห็น 3) ความจริงทางด้านการรับรู้ภาพ (visual realism) เกิดขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 9 ปี เป็นการแสดงให้เห็นว่าเด็กเข้าใจความสัมพันธ์ของวัตถุกับพื้นที่

            4. ทฤษฎีเกสตอลท์ : ภาพรวม (Gestalt theory)

                        ทฤษฎีเกสตอลท์เน้นความสำคัญของการรับรู้โดยภาพรวม  ตาไม่ใช่กล้องถ่ายรูปที่จะถ่ายภาพสิ่งที่เห็น สมองไม่ใช่ผ้าขาวที่จะบันทึกรายละเอียดของความจริงภายนอก

                        ศิลปะคือ วิธีที่เด็กสร้างภาพพจน์ที่สอดคล้องกับโครงสร้างโดยรวมที่เด็กได้รับ เด็กจะไม่คิดถึงรายละเอียด แต่จะพยายามจัดหมวดหมู่ องค์ประกอบและการสร้างแบบแผนรวมของสิ่งที่มองเห็น

            5. ทฤษฎีของอาร์นเฮม : การรับรู้ (Arnheim’s theory)

                        อาร์นเฮมได้เสนอแนะว่า เด็กจะไม่วาดภาพสิ่งที่เด็กรู้ แต่จะวาดในสิ่งที่เด็กรับรู้ โดยอาร์นเฮมได้รวบรวมทฤษฎีศิลปะของเด็กหลายทฤษฎีเข้าด้วยกัน โดยยึดทฤษฎีของเพียเจต์เป็นหลัก ผสมกับทฤษฎีของเกสตอลท์และทฤษฎีของเขาเอง จากการศึกษาพัฒนาการของความซับซ้อนของรูปทรงทางด้านศิลปะ เขาเชื่อว่าพัฒนาการของเด็กจะเป็นไปในลักษณะคู่ขนานกันระหว่างความซับซ้อนของรูปทรงและความสามารถในการรับรู้และการเข้าใจความซับซ้อนของงานศิลปะ ซึ่งจะสัมพันธ์กับทักษะการจำแนกเรื่องเวลาและมิติ ( time and space)

                        ทฤษฎีของอาร์นเฮมเชื่อว่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่พยายามที่จะแสดงโครงสร้างของวัตถุในลักษณะสื่อของวัตถุนั้น ไม่ใช่ลักษณะภาพจากกล้องถ่ายรูป การเจริญงอกงามจะมีกฎของตัวเองคือ จากรูปแบบง่ายๆ ไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการรับรู้ของเด็กแต่ละคน

6. ทฤษฎีพัฒนาการ  : เด็กเติบโตอย่างไร (developmental theory)

            ทฤษฎีการสอนศิลปศึกษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คือ ทฤษฎีพัฒนาการ  ผู้นำทฤษฎีนี้ก็คือ วิคเตอร์ โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld)  ซึ่งเขาได้แบ่งขั้นตอนการเจริญงอกงามทางศิลปะของเด็กออกเป็น 5 ขั้น    ได้แก่

1) ขั้นขีดเขี่ย (scribbling stage) อายุ 2-4 ปี ผลงานของเด็กเป็นการแสดงออกของแต่ละคน

2) ขั้นก่อนเป็นแบบแผน (pre schematic stage) อายุ 4-7 ปี เด็กแสดงให้เห็นความพยายามโดยการใช้สัญลักษณ์

3) ขั้นแบบแผน (schematic stage)  อายุ 7-9 ปี แสดงให้เห็นจากมโนทัศน์ที่เป็นรูปร่าง

4) ขั้นหมู่พวก (gang stage) อายุ 9-12 ปี เป็นขั้นเริ่มแสดงความเป็นจริง

5) ขั้นเหตุผล (reasoning stage) อายุ 12-14 ปี หรือขั้นความจริงเทียม (Lowenfeld,1982)

 

ลักษณะนิสัยในการแสดงออกทางศิลปะของเด็ก

            โลเวนเฟนด์ (Lowenfeld, 1957) กล่าวถึงลักษณะนิสัยในการแสดงออกทางศิลปะของเด็ก ว่า การวาดภาพจะมีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

            1.ประเภทแสดงออกตามการรับรู้ (visual type) เด็กประเภทนี้จะเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างจดจำลักษณะต่างๆ เช่น สี พื้นผิว และแสง เงา เมื่อเด็กวาดภาพก็จะแสดงรายละเอียดได้ดี ภาพวาดของเด็กประเภทนี้จึงมีลักษณะเหมือนจริง เพราะเด็กสามารถแสดงระยะใกล้ ไกล ได้ดี

            2.ประเภทแสดงออกตามความรู้สึก (haptic type) เด็กประเภทนี้จะทำตามความรู้สึกของตนเองโดยไม่สนใจความเป็นจริง เด็กจะใส่อารมณ์และความรู้สึกของตนเองไปในภาพวาด เมื่อสนใจสิ่งใดก็จะแสดงออกโดยเน้นส่วนนั้น และตัดทอนส่วนที่รู้สึกว่าไม่สำคัญออกไป ภาพวาดของเด็กประเภทนี้จึงมีลักษณะเกินความจริงหรือไม่เหมือนจริง

            ทั้งนี้สอดคล้องกับ พีระพงษ์  กุลพิศาล ซึ่งได้กล่าวถึงธรรมชาติการวาดภาพของเด็กไว้ว่าสามารถแบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้  (พีระพงษ์  กุลพิศาล,2536 : 170-172)

            แบบที่ 1 เป็นเด็กประเภทที่ชอบวาดภาพด้วยการมองและสังเกต (visual type) เพราะชอบวาดรายละเอียดมากมายและมักจะไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในภาพด้วย จะแยกตัวออกจากวัตถุที่ตนมองเห็น พยายามสังเกตรูปร่างลักษณะและสีสันต่างๆ ของวัตถุที่ตนมองเห็นแล้วถ่ายทอดออกมาให้มากเท่าที่จะทำได้ ตามข้อจำกัดของเครื่องมือและวัสดุที่ใช้ มีแนวโน้มที่จะใช้สายตาเป็นสื่อกลางของความรู้สึกประทับใจ บางครั้งตนเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ถ่ายทอดออกมานั้นยังไม่ละเอียดพอ มักจะอธิบายประกอบไว้ด้วยคำพูดหรือตัวหนังสือ เพื่อเสริมลักษณะความเป็นเด็กช่างสังเกตจดจำที่ตนเป็นอยู่

            วิธีที่จะส่งเสริมให้เด็กที่มีธรรมชาติการวาดภาพด้วยการมองและการสังเกต คือ พยายามกระตุ้นการมองและการสังเกตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ควรเป็นการกระตุ้นให้รับรู้องค์ประกอบต่างๆ ทางศิลปะ เช่น สี รูปร่าง รูปทรง (สามเหลี่ยม วงกลม วงรี ฯลฯ)  ผิว (เรียบ มัน หยาบ ฯลฯ) ตำแหน่ง (ล่าง บน ใกล้ ไกล ฯลฯ) ขนาด (เล็ก กลาง ใหญ่ ฯลฯ) เป็นต้น โดยชี้ให้เห็นจากของจริงซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบหรือสนใจ บางครั้งอาจใช้วิธีถาม-ตอบ ในขณะที่เผชิญหน้ากับวัตถุต่างๆ อยู่ หรืออาจกระตุ้นไปพร้อมๆ กับเด็กที่กำลังวาดรูปอยู่ก็สามารถทำได้

            แบบที่ 2 เป็นเด็กประเภทที่ชอบวาดภาพด้วยความรู้สึก (expressive type) จะมีลักษณะการวาดภาพแบบไม่สนใจรายละเอียด แต่จะสนใจภาพรวมๆ และจะเน้นที่การแสดงออกทางสีเป็นหลัก ไม่ชอบเน้นรายละเอียดของรูปร่างรูปทรง หรือรายละเอียดปลีกย่อย และมักมีตนเองอยู่ในภาพ

            วิธีที่จะส่งเสริมให้เด็กที่มีธรรมชาติการวาดภาพด้วยความรู้สึก คือ พยายามให้มีโอกาสเห็นสีต่างๆ ที่อยู่รอบตัวให้มากที่สุด และแยกให้เห็นว่าสีต่างๆ เป็นส่วนประกอบของรูปร่างต่างๆ มากมาย ไม่ใช่เฉพาะสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือวงกลมเท่านั้น และเนื่องจากเด็กประเภทนี้มักจะวาดรูปไว จึงควรเตรียมสีที่มีขนาดใหญ่ๆ เช่น สีเทียน สีเมจิกหัวใหญ่ๆ ไว้ให้

            การแบ่งเด็กออกเป็น 2 แบบตามที่กล่าวมานี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการศิลปะเด็ก แต่มีผู้ใหญ่อีกไม่น้อยที่เข้าใจว่าเด็กที่วาดภาพด้วยความรู้สึกเป็นเด็กที่ด้อยกว่าเด็กที่วาดด้วยการสังเกตรายละเอียด จนบางครั้งไปตำหนิว่าเด็กวาดอะไรเลอะเทอะมีแต่สีไม่มีรูปอะไรเลย จนเด็กหมดกำลังใจไปมากต่อมากแล้ว ซึ่งความจริงแล้ว เด็กที่มีธรรมชาติการวาดภาพทั้ง 2 แบบเป็นเด็กที่สร้างสรรค์ทั้งคู่ เพียงแต่มีวิธีรับรู้และถ่ายทอดที่ต่างกัน


ร่องรอยขีดเขี่ยพื้นฐานของเด็กปฐมวัย

โรดา  เคลล็อก (Kellogg, 1969) ค้นพบว่าเด็กทั่วโลกวาดสิ่งเดียวกัน ด้วยวิธีการเดียวกัน เมื่ออายุเท่ากัน เคลล็อก ค้นพบเส้นขีดเขี่ยพื้นฐานจำนวน 20 เส้น ที่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบจะวาดเส้นเหล่านี้ และจะพัฒนาขึ้นเมื่อเด็กมีอายุ 3 ขวบ เด็กจะสามารถวาดรูปแผนผังหรือแบบแปลนได้

ตัวอย่างร่องรอยขีดเขี่ยพื้นฐานของเด็กปฐมวัย 20 เส้น



 

นอกจากนี้   โรดา  เคลล็อก (Kellogg, 1969 อ้างถึงใน สุดารัตน์  เพชรรูจี, 2539) ได้แบ่งขั้นของลักษณะการจัดองค์ประกอบในวาดภาพของเด็ก ไว้ดังนี้

1. ขั้นการขีดเขี่ยเบื้องต้น (20 basic scribbles) เป็นลักษณะการขีดเขี่ยของเด็กก่อนอายุ 2 ขวบ ภาพที่ขีดเขี่ยจะเป็นไปตามธรรมชาติหรือตามปกติวิสัย ลักษณะการขีดเขี่ยพื้นฐานมี 20 ชนิด ดังที่กล่าวไว้แล้ว

2. ขั้นวางตำแหน่ง (placement stage) ในระยะที่เด็กมีอายุ 2-3 ขวบ  อยู่ในระยะการขีดเขี่ยตามปกติวิสัย ภาพเขียนบนแผ่นกระดาษจะอยู่ในตำแหน่ง 17 ตำแหน่ง เช่น เขียนเต็มไปหมดหน้ากระดาษ เขียนเริ่มจากจุดศูนย์กลางตรงกลางกระดาษ เขียนอยู่ในเส้นตั้งหรือเส้นนอน ภาพสมดุลทั้งสองด้านฯลฯ

3. ขั้นรูปร่าง (shape stage) ในระยะอายุระหว่าง 3-4 ขวบ เด็กวาดภาพที่เป็นเส้นเดี่ยว แสดงรูปร่างของภาพที่วาดได้ เรียกว่า แผนภาพ (diagram) ซึ่งมี 6 ลักษณะใหญ่ ได้แก่ วงกลม วงรี  สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า สามเหลี่ยม กากบาท  และภาพแปลกๆ (odd forms) ซึ่งอาจเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของแผนภาพ

4. ขั้นออกแบบ (design stage) เด็กยังคงอยู่ระหว่างอายุ 3-4 ขวบ เมื่อใดที่เด็กวาดภาพได้ก็ถือว่าเกือบอยู่ในขั้นออกแบบได้แล้ว ถ้าเด็กนำแผนภาพในลักษณะต่างๆ มาผสมผสานกัน แบบที่เกิดขึ้นใหม่เรียกว่า ภาพผสม (an aggregate)

5. ขั้นแสดงรูปภาพ (pictorial stage) ระหว่างอายุ 4-5 ขวบ เด็กจะเข้าขั้นแสดงรูปภาพซึ่งผู้ใหญ่พอจะดูออก ในขั้นนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ภาพวาดระยะแรก (early pictorial drawings) และภาพวาดระยะหลัง (later pictorial drawings) ซึ่งจะเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ มักเป็นภาพ คน บ้าน สัตว์  ต้นไม้ ภาพในระยะนี้ปรากฏเส้นขีดเขี่ยและรูปแผนภาพด้วย เช่น รูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม เป็นตัวบ้านและหลังคา เป็นต้น  


ที่มา: ทิพจุฑา  สุภิมารส. (2561). ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย. สุรินทร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น