[บทความ]
การจัดกิจกรรมทางศิลปะระดับการศึกษาปฐมวัย
ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม BLOG นี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพื้นที่รายงานจากการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่นักศึกษาสนใจและได้รับมอบหมาย รวมทั้งข้อมูลที่ผู้สอนเรียบเรียงจากแหล่งต่างๆ BLOG เปิดสาธารณะให้ผู้สนใจสามารถเข้าอ่านได้สะดวก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่นำเสนออาจมีส่วนที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วน-สมบูรณ์ ดังนั้น หากท่านต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิงทางวิชาการ ขอให้ท่านตรวจทานข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ประเภทเอกสารทางวิชาการ เช่น ตำรา/หนังสืออีกครั้ง :)
หน้าเว็บ
- หน้าแรก
- พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยผ่านกิจกรรมศิลปะ
- แนวทางการประเมินพัฒนาการด้านศิลปะเด็กปฐมวัย
- ทฤษฎีพัฒนาการและการแสดงออกทางศิลปะของเด็ก
- กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
- กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก: การจัดกิจกรรมศิลปะที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
- การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยกิจกรรมศิลปะ
- การจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
- การจัดสุนทรียประสบการณ์สำหรับเด็กวัยอนุบาล
- เนื้อหารายงาน
- บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมศิลปะเด็กปฐมวัย
- 1.ทฤษฎีพัฒนาการกิจกรรมศิลปะเด็ก
- 2.เนื้อหากิจกรรมศิลปะเด็ก
- 3.วัสดุ อุปกรณ์ กิจกรรมศิลปะเด็ก
- 4. หลักการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
- 5.บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมศิลปะเด็ก
- 7.การจัดแสดงผลงานศิลปะของเด็ก
- อ่านงานวิจัยART
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2567
กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก: การจัดกิจกรรมศิลปะที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก: การจัดกิจกรรมศิลปะที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก
กิจกรรมศิลปะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เพื่อส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
เพื่อให้เด็กได้ถ่ายทอด อารมณ์ ความรู้สึก และเห็นความงามของสิ่งต่างๆรอบตัว
ความหมายและความสำคัญของศิลปะของเด็ก
Peterson (1992) กล่าวว่า
ศิลปะเป็นแนวทางในการแสดงออกของเด็ก ซึ่งเด็กต้องการโอกาสได้แสดงออก
อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก และความเข้าใจรวมทั้งบุคลิกภาพ
และความอิสระของเด็กออกมาได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากประสบการณ์และจินตนาการของเด็กแต่ละคนนั่นเอง
1) ศิลปะ คือ การจำลองแบบ (Art as Imitation)
2) ศิลปะ คือ การแสดงออก (Art as Expression)
3) ศิลปะ คือ ประสบการณ์ (Art as Experience)
4) ศิลปะ คือ การแสดงออกซึ่งอารมณ์ หรือสิ่งที่อยู่ภายในของชีวิต
การให้เด็กทำงานศิลปะต่างๆ เช่น การวาดภาพ ปั้น ประดิษฐ์วัสดุ
การแสดงออกทางดนตรี ละคร การเล่นน้ำ เล่นทราย การส่งเสริมจินตนาการโดยการเล่านิทาน
การเล่นสมมติตามมุม และจัดหาวัสดุอุปกรณ์
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551) กล่าวว่า ศิลปะเด็ก
หมายถึง เครื่องมือหรือสื่อประเภทหนึ่งของการแสดงออก ความรู้สึกนึกคิด
ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ การแสดงออก
และในขณะเดียวกันนั้นก็เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดไปพร้อมกันด้วย
เพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจิตนาการ
สร้างเสริมศิลปนิสัยและพื้นฐานรสนิยมที่ดีๆ ให้แก่เด็กๆ
ซึ่งกิจกรรมศิลปะเด็กปฐมวัยมีความสำคัญ ดังนี้
1) เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ ส่งเสริมอิสรภาพในการทำงาน
ในขณะเดียวกันเด็กจะสามารถเปลี่ยนความคิดของตนกับเพื่อนๆ ได้
2) เด็กมีสุนทรียภาพต่อสิ่งแวดล้อม
รู้จักชื่นชมและมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งต่างๆ ส่งเสริมให้รู้จักสังเกต
3) เด็กเกิดความพอใจและสนุกสนาน
การพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนเป็นโอกาสที่เด็กแสดงออก
ซึ่งความคิดของเขาและเป็นการพัฒนาภาษาไปด้วย
การจัดกิจกรรมศิลปะที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
Eglinton (2003) อธิบายถึงกระบวนการในการจัดประสบการณ์ศิลปะที่จำเป็นสำหรับเด็กอายุ
3-5 ปี ว่า เป็นประสบการณ์ศิลปะแบบองค์รวม
แต่ละประสบการณ์ต้องนำไปสู่ประสบการณ์อื่นๆ
การค้นพบแต่ละครั้งเป็นการต่อยอดการค้นหาต่อไป
จุดประสงค์ของการจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็ก คือ
การกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทุกๆ ด้านในการเรียนรู้
และการฝึกฝนการใช้จินตนาการ แนวคิดของกระบวนการ คือ
เด็กเรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสเพื่อพัฒนาทักษะการคิดและ
จินตนาการผ่านประสบการณ์ศิลปะ ประกอบด้วย 3 ประสบการณ์ ได้แก่
1) สุนทรียประสบการณ์ (Aesthetic experiences) เป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจของมโนทัศน์ที่มีต่อโลกให้มีความลึกซึ้งขึ้น
โดยปลุก ประสาทสัมผัสและการรับรู้ต่างๆ ของเด็กให้ตื่นและขยายกว้างมากขึ้น
เพื่อตอบสนองต่อความงามรอบข้างทั้งธรรมชาติและสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
สุนทรียประสบการณ์ยังช่วยพัฒนาการสังเกตและ การสะท้อนความคิดของเด็กให้ดียิ่งขึ้น
2) ประสบการณ์การสร้างงานศิลปะ (Art making experiences) เป็นกระบวนการที่เด็กต้องเรียนรู้ผ่านทีละขั้น
โดยครูเป็นผู้ช่วยสนับสนุนอย่าง ต่อเนื่องด้วยการสร้างแรงบันดาลใจและการใช้บทสนทนา
มีข้อควรคำนึง 5 ประการ ดังนี้
2.1) โอกาสในการใช้ทักษะการแก้ปัญหา
2.2) การแสดงออกถึงความรู้สึกหรือบุคลิกลักษณะของตนเอง
การสื่อสารของ การรับรู้ส่วนบุคคล
การทาความรู้สึกหรือความคิดที่ไม่ชัดเจนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
2.3) เวลาสำหรับการสำรวจด้วยประสาทสัมผัส
การสำรวจสื่อต่างๆ การค้นหา อย่างกระตือรือร้น
และการสกัดข้อมูลทั้งจากธรรมชาติและสิ่งที่แวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้น
2.4) เวลาในการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ
การควบคุมการใช้สื่อ และการใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องมือในการสร้างรูปร่างต่างๆ
2.5) สนับสนุนพัฒนาการของรูปแบบสัญลักษณ์ ทั้งการสร้างและการถอดรหัส
ของสัญลักษณ์ การใช้สัญลักษณ์ในการสื่อสารความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์ของตนเอง
และ การใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงสภาพแวดล้อม
3) การเข้าสู่โลกศิลปะ (Encounters with art) คือ
การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างให้เด็กมีการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และชื่นชมในงานศิลป์
ศิลปิน และวัฒนธรรม และเป็นการเชื่อมโยงให้เด็กเห็นถึง
ความเกี่ยวข้องของศิลปะกับสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันโดยหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนวงจรทั้งหมด
คือ แรงจูงใจ (Motivation) และบทสนทนา (Dialogue)
3.1) แรงจูงใจ หมายถึง
บางสิ่งบางอย่างที่กระตุ้นหรือก่อให้เกิดการกระทำบางอย่าง เพื่อทำให้เกิดความสนใจ
การสร้างแรงจูงใจผ่านประสาทสัมผัสที่หลากหลายเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของ
การเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะอย่างตื่นตัว
เด็กต้องได้รับแรงจูงใจทั้งจากตัวสื่อวัสดุเองและจากแรงกระทำ ภายนอกหรือสถานการณ์
แรงจูงใจสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงต้นจะทำให้เด็กเกิดการ
ประกายความคิดจากภายใน
ช่วงระหว่างประสบการณ์เป็นการสร้างเพื่อช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วม
และช่วงสุดท้ายเป็นการสะท้อนและการกระตุ้นเพื่อให้เกิดประสบการณ์ถัดไป
การสร้างแรงบันดาลใจ ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่
ผลงานศิลปะของเด็ก การใช้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ศิลปะ วัฒนธรรม
สุนทรียะประสบการณ์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น
หนังสือ นิทานและจินตนาการ
3.2) บทสนทนา
เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ศิลปะที่เกิดจากการใช้คำพูดอย่างมี เป้าหมายของครู
การสร้างและเลือกรูปแบบของบทสนทนาขึ้นอยู่กับความคาดหวังจากการใช้ บทสนทนานั้นๆ
ซึ่งมีลักษณะของบทสนทนา 5 รูปแบบ ได้แก่ (1) บทสนทนาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ คือ
การใช้บทสนทนาเพื่อเป็นเครื่องมือ
ในการช่วยเด็กจำได้ถึงประสบการณ์ต่างๆที่ได้เรียนรู้มา เรียกความทรงจำกลับมาอีกครั้ง
กระตุ้นให้ เด็กพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ความรู้เดิม ความรู้สึกและความคิด เช่น
จากคำถาม “วันนี้อากาศเป็นเช่นไร” ไปจนถึง “ช่วงไหนของวันที่หนูชื่นชอบ”
การให้เด็กนึกภาพของสิ่งต่างๆ ใช้คำถามว่า “สิ่งของหรือ
รูปภาพนี้ทำให้หนูรู้สึกอย่างไร” (2) บทสนทนาเพื่อชมเชย คือ
การเลือกใช้คำพูดเพื่อส่งเสริมและสะท้อนกลับแก่เด็ก
การใช้คำชื่นชมเพื่อเป็นแรงเสริมทางบวกแก่
เด็กและต้องเหมาะสมกับพัฒนาของเด็กแต่ละคน (3) บทสนทนาเพื่อการติชม
ครูต้องใช้คำติชมผ่านกระบวนการของเด็กไม่ใช่ ผลงาน ต้องเป็นการติชมทางบวกในเรื่องกระบวนการ
จุดประสงค์หรือทักษะ (4) บทสนทนาเพื่อการสอน
เป็นการใช้คำพูดเพื่ออธิบายการใช้สื่อและวัสดุที่ถูก หลักและวิธี
การเรียกชื่อสื่อวัสดุต่างๆเพื่อให้เด็กเข้าใจและจดจำได้ (5)
บทสนทนาเพื่อขยายประสบการณ์ให้กว้างขึ้น เป็นการใช้คำพูดเพื่อช่วยให้ เด็กเรียนรู้จากกระบวนการ
การแก้ปัญหา การประยุกต์ใช้สิ่งที่ค้นพบใหม่ การสะท้อนกลับ และขยาย
ความคิดของตนเองออกโดยใช้คำถามให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ บรรยาย แก้ปัญหา และค้นพบ
Isbell and Raines (2007) แนวทางในการสอนศิลปะสำหรับเด็ก
ได้แก่
1) จัดสื่อที่หลากหลายเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสในการสำรวจและเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของสื่อแต่
ละชนิด
2) เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกใช้สื่อที่หลากหลายและเรียนรู้วิธีการใช้งานอย่างเหมาะสม
3) เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความชื่นชมผลงานของตนเองและพูดคุยเกี่ยวกับผลงานของผู้อื่น
4) พูดคุยเกี่ยวกับลักษณะของผลงานด้วยศัพท์ทางศิลปะ เช่น รูปร่าง
สี เป็นต้น
Mayesky (1998) อธิบายหลักการจัดโปรแกรมศิลปะสำหรับเด็กอนุบาล
ได้แก่ การจัดเวลา สถานที่เพื่อให้เด็กได้สามารถแสดงออกด้านความคิด แนวคิด
ความรู้สึก การกระทำ และความสามารถต่างๆ ด้วยสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย
แบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังนี้
1) การเน้นกระบวนการไม่ใช่ผลผลิต
เพื่อให้เด็กได้แสดงออกถึงประสบการณ์และ ความรู้สึกที่ตนเองได้เรียนรู้
การแสดงออกของเด็กแต่ละคนมีความสำคัญมาก เนื่องจากเด็กยังมีทักษะ
ไม่ดีมากเท่าผู้ใหญ่ เด็กมักสนใจทดลองสื่อวัสดุต่างๆ
และยังแสดงออกถึงสิ่งที่ตนเองตั้งใจวางแผนไว้ใน การสร้างสรรค์งานศิลปะ แต่ละครั้ง
2) ความต้องการของเด็ก รวมถึงอายุ ความสามารถ
และระดับความสนใจของเด็ก แต่ละบุคคล
3) ความแปลกใหม่และอิสรภาพ
การจัดประสบการณ์ศิลปะในแต่ละครั้งต้องเปิด โอกาสให้เด็กได้คิดริเริ่มและสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ
ซึ่งต้องจัดเตรียมสื่อวัสดุให้เด็กได้สำรวจและ
เด็กสามารถควบคุมได้ตามระดับพัฒนาการด้านร่างกายของตนเอง
4) การคิดอย่างสร้างสรรค์
กิจกรรมศิลปะที่จัดขึ้นต้องส่งเสริมให้เด็กได้ทำงานอย่าง อิสระและยืดหยุ่น
เด็กต้องเผชิญกับปัญหาโดยปราศจากความกลัวต่อความล้มเหลวในสภาพแวดล้อม
และกิจกรรมที่เด็กรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และสะดวกสบาย
เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กกล้าเสี่ยงหรือ เผชิญหน้ากับความท้าทาย
5) กระบวนการรายบุคคล
เป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ตาม ระดับของตนเองเป็นรายบุคคล
เรียนรู้ด้วยวิธีของตนเอง ด้วยการจัดเตรียมโอกาสและเวลาให้เด็กได้
สำรวจและทดลองด้วยสื่ออุปกรณ์ต่างๆที่มีความเหมาะสม
โดย Mayesky แบ่งกิจกรมศิลปะสำหรับเด็กออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
กิจกรรมศิลปะสองมิติ และกิจกรรมศิลปะสามมิติ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. กิจกรรมศิลปะสองมิติ (Two-dimensional activities)
สามารถแบ่งออกเป็น กิจกรรม 3 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมสร้างภาพ กิจกรรมการพิมพ์ภาพ
และกิจกรรมภาพปะติด
1.1 กิจกรรมสร้างภาพ
ได้แก่ การระบายสีด้วยแปรง การวาดด้วยสีเทียน ทักษะการใช้กรรไกร การติดหรือปะ
1.2 กิจกรรมการพิมพ์ภาพ
ได้แก่ การพิมพ์ด้วยวัตถุรอบตัว การพิมพ์ด้วยนิ้วมือ การพิมพ์ด้วยผัก
การพิมพ์ครั้งเดียว การพิมพ์ด้วยสตายโลโฟม การพิมพ์ด้วยกระดาษสเตนซิล และ
การพิมพ์ด้วยการสะบัด
1.3 กิจกรรมภาพปะติด
หรือ Collage ได้แก่ ภาพปะติดจากเมล็ดพืชต่างๆ ภาพปะติดจาก กระดาษเขียนลวดลายเอง
(patchwork) และภาพปะติดจากเศษผ้าชนิดต่างๆ
2. กิจกรรมศิลปะสามมิติ (Three-dimensional activities) หมายถึง
รูปทรงใดๆ ที่มีอย่างน้อย 3 ด้าน ซึ่งสามารถมองได้รอบด้านหรือมองได้หลายมุม
สามารถแบ่งออกเป็นกิจกรรม 4 ประเภท ได้แก่
2.1 กิจกรรมรูปปั้น
สำหรับเด็กเล็กดินที่ครูเลือกใช้ควรเป็นดินเกลือ (salt clay) ดินเหนียว ดินน้ำมัน
และแป้งโดว์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเปเปอร์มาเช่ ที่ใช้กระดาษในการทำรูปปั้น
2.2 กิจกรรมการผสมผเส
หมายถึง การจัดวางวัสดุสามมิติหลายชิ้นๆทั้งที่มาจาก ธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น
โดยนำมาวางติดกันเพื่อสร้างองค์ประกอบรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
2.3 กิจกรรมโครงสร้างกระดาษ
เป็นงานโครงสร้างที่เกิดจากวัสดุ ง่ายๆ เช่น กล่องนม ถาดใส่ไข่ แกนแบ่งช่องผลไม้
แกนกระดาษขนาดต่างๆ และกล่องกระดาษขนาด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่
ซึ่งจากวัสดุเหล่านี้ทำให้เกิดการสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่สิ้นสุด เด็กมัก
สร้างสรรค์เป็นตึกต่างๆ บ้าน เมือง
2.4. กิจกรรมงานไม้
ได้แก่ การตอกตะปู การขัด ด้วยกระดาษทราย การยึดด้วยกาวและการทาสี บนไม้
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551)
ได้กล่าวถึง ตัวอย่างกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก
1) การวาดภาพและการระบายสี
การวาดภาพหรือระบายสี
โดยใช้ดินสอสี สีเทียน สีน้ำ สีโปรเตอร์ พู่กัน ฯลฯ
วาดบนกระดาษหรือวัสดุแทนอย่างอื่น โดยมีหลักการจัดกิจกรรมที่ควรคำนึง 2 ประการ คือ
ให้เด็กวาดภาพและระบายสีอย่างอิสระ
และให้เด็กเล่าสิ่งที่ทำเพื่อฝึกให้เด็กคิดก่อนลงมือทำ
2) การพิมพ์ภาพ
การพิมพ์ภาพเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ
ได้ทดลองลงมือทำ ใช้ความคิด จินตนาการ และสร้างสรรค์อย่างเต็มที่
โดยอาจจะพิมพ์ภาพต้นแบบที่ครูและเด็กช่วยกันจัดเตรียมมีผัก ผลไม้ และอื่นๆ
3) การวาดภาพด้วยนิ้วมือ
เด็กได้แสดงความรู้สึกออกมาเป็นภาพด้วยการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่างๆ
เช่น มือ นิ้วมือ ฝ่ามือ ท่อนแขน ฯลฯ เด็กจะได้เล่น ได้ทดลองด้วยวิธีการต่างๆ
ส่งเสริมการใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
4) การเป่าสี การหยดสี
เด็กได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของภาพผ่านการเป่า
การหยด การพับสี
5) การปั้น
เพื่อส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมือและการประสานสัมพันธ์
โดยกิจกรรมการปั้น เช่น การปั้นดินน้ำมัน ดินเหนียว แป้งโดว์
เศษกระดาษหนังสือพิมพ์ ฯลฯ
6) การฉีก ตัด ปะ
หมายถึงกิจกรรมการพับ
ฉีก ตัด ปะกระดาษสีหรือวัสดุทดแทนอย่างอื่น
ทากาวแล้วนำไปปะติดบนกระดาษให้เป็นรูปร่างต่างๆ ตามใจชอบ
7) การประดิษฐ์
การประดิษฐ์เศษวัสดุ
ควรคำนึงถึงหลายอย่าง เช่น การเลือกวัสดุ ควรเป็นวัสดุที่ไม่แตกง่าย ไม่เป็นพิษ
หรือวัสดุที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
8) การวาดภาพบนฝาผนัง
เป็นกิจกรรมที่เด็กทำเป็นกลุ่มร่วมกัน
โดยมีกระดาษแผ่นใหญ่มากๆ ผ้ากระสอบ หรือสิ่งทดแทนอื่นๆ
9) การวาดภาพตนเอง
เด็กนอนลงบนกระดาษแล้วลากเส้นรอบๆ
ตัวเด็กด้วยดินสอสีเทียน และให้เด็กระบายสี
10) หนังสือของฉัน
สนทนาซักถามเด็กถึงสิ่งประทับใจแล้วเขียนตามคำบอกของเด็ก
โดยอาจมีภาพประกอบซึ่งตัดมาจากวารสาร ภาพถ่าย หรือภาพวาดเด็กเอง
บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก
Benjamin (เบนจามิน อ้างถึงใน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,
2551) กล่าวถึง การจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
จึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญที่ตัวครู บุคลิกภาพของครูในด้านต่างๆ ดังนี้
1) บทบาทในการเป็นครูศิลปะที่ดี
บทบาทในการเป็นครูศิลปะที่ดี
ได้แก่ ตั้งใจฟังเวลาเด็กพูด สนใจตอบคำถามของเด็ก
ชมเชยหรือแสดงกิริยาชื่นชมในผลงานของเด็ก เคารพในแตกต่างของเด็ก
ให้โอกาสเด็กได้เล่น
2) บทบาทในการเตรียมวัสดุอุปกรณ์
ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ตัดสินใจในการเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่ตนต้องการ
เพื่อสร้างสรรค์ผลงานหรือ มีส่วนร่วมในการจัดหา จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์
อาจจะสรุปได้ว่าสิ่งเร้าความสนใจสำหรับเด็กมี 4 ประเภท คือ ประสบการณ์จริง
สื่อประกอบการสอน การพูดคุย และวัสดุอุปกรณ์ในการทำงานศิลปะ ปรับสภาพแวดล้อมต่างๆ
ให้เอื้ออำนวยต่อการทำกิจกรรม ทางศิลปะ
3) บทบาทในการสนับสนุนส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้เด็กแสดงออกทางศิลปะ
การเตรียมการสอนศิลปะสำหรับเด็ก
สิ่งที่ครูต้องเตรียม คือ วิธีการจูงใจเด็ก ซึ่งครูสามารถเลือกได้ หลายวิธี เช่น เล่านิทานให้ฟัง
การฉายวิดีโอให้ดู การพาไปดูของจริง ฯลฯ
4) บทบาทในการประเมินผลงานทางศิลปะ
ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กพูดคุยและเล่าเรื่องเกี่ยวกับผลงานศิลปะของตน
เพื่อศึกษาพัฒนาการ
ของเด็ก และสังเกตผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง
กิจกรรมศิลปะเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญแก่เด็กช่วยส่งเสริมและพัฒนาเด็กในหลายๆ ด้าน การจัดประสบการณ์ทางศิลปะให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออกทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน วิธีการจัดประสบการณ์ศิลปะสำหรับเด็กควรมุ่งเน้นในการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสสำรวจ ทดลอง ค้นคว้าจากวัสดุนานาชนิด ด้วยวิธีการเรียนแบบแก้ปัญหา แทนการกระทำตามตัวอย่างและการเลียนแบบ
ที่มา:
ณภษร นิลประดับ. (2565). ชุดกิจกรรมเรียนรู้ศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคมันดาลา
เพื่อพัฒนาความสามารถในการเล่าเรื่องของเด็กอนุบาลปีที่ 2. การวิจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565.
https://webportal.bangkok.go.th/user_files/116/15930587716385b38a70ac44.84093616.pdf
เนื้อหารายงาน
1. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการและการแสดงออกทางศิลปะของเด็กปฐมวัย
2. การจัดประสบการณ์ทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
3. กิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
4. การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยกิจกรรมศิลปะ
5. บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมศิลปะเด็กปฐมวัย
6. การประเมินพัฒนาการด้านศิลปะเด็กปฐมวัย